เปิดโพยจัดทัพ ‘ลดหย่อนภาษี’ ปี 68 ‘กูรู’แนะกระจายเสี่ยงทั่วโลก-เน้น ‘ปันผลสูง’

เปิดโพยจัดทัพ ‘ลดหย่อนภาษี’ ปี 68 ‘กูรู’แนะกระจายเสี่ยงทั่วโลก-เน้น ‘ปันผลสูง’

หัวใจสำคัญของการจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีคือ “การกระจายความเสี่ยง” ทั่วโลก เพื่อลดความผันผวน แทนการพยายามจับจังหวะตลาดหรือเลือกลงทุนเป็นรายตัว สำหรับกองทุน ThaiESG กูรูแนะนำให้เน้น “หุ้นปันผลสูง” กองทุน RMF ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว แนะให้เลือกลงทุนในกองทุนที่กระจายการลงทุนทั่วโลก

KEY

POINTS

  • หัวใจสำคัญของการจัดพอร์ตลดหย่อนภาษีคือ “การกระจายความเสี่ยง” ทั่วโลก เพื่อลดความผันผวน แทนการพยายามจับจังหวะตลาดหรือเลือกลงทุนเป็นรายตัว
  • สำหรับกองทุน ThaiESG กูรูแนะนำให้เน้น “หุ้นปันผลสูง” เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตไม่มาก การลงทุนในหุ้นปันผลจึงช่วยสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนของพอร์ตได้
  • กองทุน RMF ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว แนะให้เลือกลงทุนในกองทุนที่กระจายการลงทุนทั่วโลก หรือกองทุนประเภท Multi Asset ที่ผสมผสานหลายสินทรัพย์เพื่อจัดการความเสี่ยง
  • นอกจากการลงทุนหลักทั่วโลกแล้ว แนะให้เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการลงทุนในธีมการเติบโต เช่น กลุ่มเทคโนโลยี AI และตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างอินเดียและเวียดนาม

โค้งสุดท้ายของปี 2568 นักลงทุนเร่งวางแผนเพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก “กูรู” เห็นพ้องว่า “การกระจายความเสี่ยง” คือหัวใจสำคัญการจัดพอร์ตระยะยาว แนะเน้นพอร์ตหลักที่ลงทุนทั่วโลก ควบคู่การเลือกธีมเติบโต AI และตลาดเกิดใหม่ศักยภาพสูง เช่น อินเดีย และเวียดนาม พร้อมชู “หุ้นปันผล” ไทยเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในเศรษฐกิจชะลอตัว

เปิดโพยจัดทัพ ‘ลดหย่อนภาษี’ ปี 68 ‘กูรู’แนะกระจายเสี่ยงทั่วโลก-เน้น ‘ปันผลสูง’

“วิน พรหมแพทย์”, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 บทเรียนจากตลาดในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนชัดว่าการพยายามเลือกลงทุนเป็นรายตัว หรือจับจังหวะตลาด มักไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าการมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ในอดีตที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงรุนแรงถึง 20% ภายในคืนเดียวจากประเด็นนโยบายภาษี แต่กองทุนที่มีนโยบายการกระจายการลงทุนทั่วโลกกลับปรับตัวลงเพียงราว 2% เท่านั้น สะท้อนความแข็งแกร่งของพอร์ตที่มีความสมดุล

สำหรับการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีและออมเพื่อเกษียณ แนะนำกองทุน RMF และ ThaiESG ที่เน้นการกระจายการลงทุนทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ใกล้เกษียณ ส่วนกองทุน ThaiESG แนะนำให้เน้นหุ้นปันผล เนื่องจากหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตจำกัด แต่หุ้นปันผลสูงมักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวม

สำหรับแนวโน้มปี 2569 คาดตลาดการเงินทั่วโลกจะเผชิญความผันผวนมากกว่าปีนี้ จากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งสงครามในหลายมิติ ไม่ว่าสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยี รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเริ่มต้นปีด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูง เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน

“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา กล่าวว่า ช่วงโค้งสุดท้ายของปีในการวางแผนลดหย่อนภาษี การจัดพอร์ตการลงทุนต้องให้สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยมองว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังอยู่ในลักษณะ K-Shape Recovery โดยกลุ่มที่สามารถปรับตัวหรือเกี่ยวข้องกับ AI และห่วงโซ่อุปทานของ AI จะอยู่ในฝั่งขาขึ้น และมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวม

สำหรับสินทรัพย์ที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในญี่ปุ่น หุ้น Memory Chip ของเกาหลีใต้ รวมถึงหุ้นกลุ่ม Hardware Technology ของจีน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดอื่น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุน RMF ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ต้องถือครองยาวหลายปี จึงควรเน้นการกระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนประเภท Multi Asset ที่ลงทุนผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ หุ้น และ REITs พร้อมใช้ตราสารอนุพันธ์ช่วยลดความผันผวน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่กังวลความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่

ขณะที่กองทุน Thai ESG ในปีนี้ มองว่าควรให้น้ำหนักกับกลุ่มหุ้นปันผลสูง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสขยายตัวไม่มากนัก การลงทุนในหุ้นปันผลจึงช่วยสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนของพอร์ตได้ดีจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวค่อนข้างจำกัด

“นธีร์ ใบเจริญ” รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 นักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ในการวางแผนลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กับการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยแบ่งสัดส่วนประมาณ 15% ควบคู่กับการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพระดับ Investment Grade อีก 15% เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ต

ทั้งนี้ มุมมองต่อ “ตลาดโลก” ยังเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มเข้าสู่ทิศทาง “ดอกเบี้ยขาลง” เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่น่าจะเร่งตัวขึ้นมากในปี 2569 ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง ทำให้ตราสารหนี้คุณภาพยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

สำหรับ “ตลาดหุ้นอินเดีย” เป็นหนึ่งในตัวเลือกเด่น โดยแนะนำสัดส่วนการลงทุนราว 15% เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น คาดว่า GDP ปี 2569 จะขยายตัวมากกว่า 7% สูงกว่าสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.8-2% เท่านั้น

สำหรับ ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นอินเดียจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 1 ปี 2569 รวมถึงแนวโน้มกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

ขณะเดียวกัน เวียดนามถูกมองเป็นอีกหนึ่ง “ดาวรุ่งในภูมิภาคอาเซียน” โดยแนะนำสัดส่วนการลงทุนราว 15% หรืออาจปรับรวมกับอินเดียให้เป็น 30% ของพอร์ต เนื่องจากเวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในอาเซียน และรัฐบาลมีความรวดเร็วในการออกนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

“จุดเด่น” ของเวียดนามจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีในเมืองหลัก การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เหลือ 10% นานถึง 20 ปี รวมถึงมาตรการจูงใจแรงงานทักษะสูงในกลุ่ม AI ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ นอกจากนี้ เวียดนามยังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากฐานการผลิตค่าแรงต่ำ ไปสู่ประเทศที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น