Reimagining Thailand (2)

โมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจของดูไบที่ GDP โตขึ้น 3 เท่าใน 15 ปี เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทย โดยเฉพาะในประเด็นการเปิดเสรีตลาดแรงงาน การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยควรเรียนรู้จากดูไบในการสร้างความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ แต่ต้องควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นและเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดธุรกิจสีเทาและสร้างวินัยทางเศรษฐกิจ
  • เพื่อแก้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน ไทยควรเปิดรับบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก (Global Talent) เหมือนที่ดูไบทำ โดยสร้างระบบที่เอื้อต่อการทำงาน เช่น ขั้นตอนการขอใบอนุญาตทำงานที่ง่ายและรวดเร็ว และมีระบบภาษีที่จูงใจ
  • โมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจของดูไบที่ GDP โตขึ้น 3 เท่าใน 15 ปี เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทย โดยเฉพาะในประเด็นการเปิดเสรีตลาดแรงงาน การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

จากเดือนที่แล้วที่ผมเล่าถึงการจัดการกับ SMEs ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และตั้งใจว่าจะชวนคุยเรื่อง soft power ของญี่ปุ่นต่อ แต่บังเอิญว่าผมเพิ่งเดินทางไปออฟฟิศใหม่ของบางจากฯ ที่ดูไบ (BCPT FZCO) มา และได้เห็นถึงความคึกคัก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ผมไปเมื่อเกือบ 15 ปีที่แล้ว จึงอยากนำมาแชร์ก่อนในรอบเดือนนี้นะครับ

ผมเดินทางด้วย Emirates Airline เป็นระยะ ๆ และทุกครั้งที่ขึ้นเครื่อง A380 เวลาประกาศต้อนรับผู้โดยสาร มักจะมีประโยคที่บอกว่า ลูกเรือบนเที่ยวบินนี้มาจากกว่า 20 ประเทศบ้าง 23 ประเทศบ้าง ซึ่งที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก คราวนี้พอได้ไปเยี่ยมเมืองเขา ประเทศเขา จึงเริ่มเข้าใจว่านี่คือความภาคภูมิใจของชาวอาหรับเอมิเรตส์ในเรื่องความหลากหลาย หรือ diversity ของประชากร และประชากรชาวต่างชาตินี่เองที่เป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดเศรษฐกิจของประเทศ เพราะประเทศเขามีประชากรท้องถิ่นน้อยมาก หากจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องนำเข้าคนจากภายนอกมาช่วยทำงาน

ในดูไบ ซึ่งเป็นรัฐ (emirate) หนึ่งของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีประชากรทั้งหมดประมาณ 4 ล้านคน เป็นคนท้องถิ่นเพียงราว 10% ส่วนอีกประมาณ 90% คือคนคุณภาพจากทั่วโลก ที่เป็นพลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของดูไบให้เติบโต

การเข้าไปตั้งสำนักงานในดูไบนั้นไม่ซับซ้อนยุ่งยากนัก หากสามารถจดทะเบียนบริษัทได้ แม้จะมีขั้นตอนและการตรวจสอบในระดับหนึ่ง เมื่อเช่าสำนักงานเพื่อเป็นที่ทำการ ระบบของที่นั่นจะพิจารณาขนาดพื้นที่และจำนวน workstation ที่รองรับได้ ซึ่งใช้เป็นฐานในการกำหนดโควตาวีซ่าหรือใบอนุญาตทำงาน หากสำนักงานรองรับพนักงานได้ 3 คน ก็จะสามารถขอ work permit ได้ประมาณ 3 ใบ หากรองรับได้มากขึ้น โควตาวีซ่าก็เพิ่มตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่า Ease of Doing Business หรือการเอื้อในการทำธุรกิจของที่นั่นมีความชัดเจน เป็นระบบ และค่อนข้างสะดวกจริง ๆ

แต่สิ่งที่มาพร้อมกับความสะดวกก็คือการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นมาก ยกตัวอย่างเพียงเรื่องจราจร การเปรียบเทียบปรับมีความจริงจังอย่างยิ่ง แค่ขับรถเร็วเกินกว่าที่กำหนดเพียงเล็กน้อย ก็อาจโดนปรับประมาณ -3,000 บาท หรือแม้แต่ขับช้ากว่าความเร็วที่กำหนดก็ยังโดนปรับได้เช่นกัน (เป็นประสบการณ์ที่น้องคนหนึ่งซึ่งไปทำงานที่นั่นเล่าให้ฟัง) ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่ดูไบ คนขับรถของผมขับตามกฎอย่างเคร่งครัด เวลาเขากำหนด speed limit ไว้ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ถนนจะโล่งไม่มีรถอยู่ข้างหน้า เขาก็ขับที่ความเร็วนั้นตลอด

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เวลาที่ผมไปพบธนาคารเพื่อแนะนำตัว ผมไปนั่งรออยู่ที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่เช่นกัน แต่กลับไม่ได้พบกัน เพราะเราจำเป็นต้องไปประชุมกันที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งเป็น International Financial Center ที่อยู่ในเขตปลอดภาษี (Tax-free Zone) แม้เจ้าหน้าที่ธนาคารจะนั่งทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ แต่เมื่อเป็นลูกค้านานาชาติและเป็นธุรกรรมที่ปลอดภาษี ก็ต้องไปประชุมในพื้นที่ที่กำหนดตามกฎหมาย แม้จะเป็นเพียงการข้ามถนนไปเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้การทำธุรกรรมจะง่ายและสะดวก แต่ก็มีความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบอย่างชัดเจน

เรามักจะได้ยินภาคธุรกิจของไทยเรียกร้องให้มี One Stop Service เพราะกฎระเบียบของบ้านเรามีจำนวนมาก ผมไม่แน่ใจว่าเรามีพระราชบัญญัติฉบับแรก ๆ ตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็น่าจะย้อนกลับไปถึงราวปี 2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลังจากนั้นก็มี พ.ร.บ. ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยแทบไม่มีการยกเลิก ส่งผลให้การเริ่มต้นธุรกิจต้องขอใบอนุญาตจำนวนมาก แม้แต่การขอใบอนุญาตทำงานหรือ work permit ก็ยังใช้เวลาพอสมควรและมีกระบวนการที่ซับซ้อน

ดังนั้น การสร้าง ease of doing business จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและขยับขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากที่ GDP ของประเทศไทยเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ease of doing business ต้องมาพร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นและเด็ดขาด เพราะความสะดวกจำเป็นต้องควบคู่กับวินัย ไม่เช่นนั้น จะเกิดการเดินลัดกติกา แล้วเราจะมีแต่ธุรกิจเทา ๆ ที่ไม่ได้มีการทำธุรกิจที่แท้จริง และจะทำให้ธุรกิจเทาต่าง ๆ เหล่านี้ทำได้ง่ายขึ้น และเติบโตได้อีก

อีกแง่มุมหนึ่งของความสำเร็จของดูไบคือ การนำเข้าประชากรที่มีคุณภาพจากทั่วโลกมาช่วยพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด ไม่ต่างจากทีม Emirates Airline ที่ภาคภูมิใจในการประกาศว่าลูกเรือมีมากกว่า 20 สัญชาติ ประเทศไทยเองกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนทั้งแรงงานและมืออาชีพ หากเราสามารถชักชวนคนรุ่นใหม่ที่เป็นมันสมองจากทั่วโลกเข้ามาทำงาน โดยมีกระบวนการที่เอื้อต่อการทำงานเหมือนที่ดูไบใช้ คือเข้ามาทำงานได้ง่าย มีระบบภาษีที่จูงใจ และมีการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็จัดระบบแรงงานพื้นฐานจากประเทศรอบข้างให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ก็จะช่วยตอบโจทย์ตลาดแรงงานและทำให้ประเทศมีต้นทุนที่แข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วยแรงงานและทุน (labor and capital)

ดูไบเมื่อ 15 ปีก่อน ที่ผมไปเที่ยว มีถนนสายหลักเส้นเดียว และสั้น ๆ ประมาณ 5-10 กม. ผ่านมากว่าทศวรรษครึ่ง เมื่อผมไป roadshow ที่ดูไบครั้งนี้ ก็ยังมีถนนหลักเส้นเดียวเช่นเดิม แต่ขยายยาวออกไปเป็นประมาณ 30-40 กิโลเมตร และมีการแตกแขนงออกไปบ้าง แต่ธุรกิจหลักยังอยู่ที่ถนนสายหลักเส้นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น 15 ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องคือ GDP ของดูไบเติบโตไป 3 เท่า ในระหว่างปี 2010-2025 หรือมี GDP เติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.5% ต่อปี จึงเป็น model ที่ผู้เกี่ยวข้องน่าสนใจไปศึกษาเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการบังคับกฎหมาย ความง่ายในการทำธุรกิจ และการเปิดเสรีตลาดแรงงานครับ