‘สมาคมประกันวินาศภัย’ชงรัฐ ตั้ง‘กองทุนภัยพิบัติ’5หมื่นล้าน

สมาคมประกันวินาศภัยไทย” เตรียมชง “คปภ.” รับลูกภายในสิ้นปีนี้ จ่อฟื้น “กองทุนประกันภัยพิบัติ” เปลี่ยนจากแบบ “เฉพาะกิจ” เป็น “ถาวร”
KEY
POINTS
- สมาคมประกันวินาศภัยไทยเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง "กองทุนประกันภัยพิบัติ" ขึ้นใหม่ในรูปแบบกองทุนถาวร วงเงิน 50,000 ล้านบาท
- มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ช่วยบริษัทประกันบริหารต้นทุน และเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศ
- กลไกการทำงานคือให้บริษัทประกันนำเบี้ยประกันภัยพิบัติมาทำประกันภัยต่อที่กองทุนนี้แทนการส่งต่อไปต่างประเทศโดยตรง เพื่อสร้างกองเบี้ยขนาดใหญ่และลดต้นทุนโดยรวม
- ตั้งเป้าให้รัฐบาลรับหลักการภายในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2569 และเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2570
ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ภายในปีนี้ สมาคมประกันวินาศภัย เตรียมแนวคิดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยภัย (คปภ.) นำ “กองทุนประกันภัยพิบัติ” กลับมาจัดตั้งอีกครั้งแต่ปรับให้เป็นแบบ “กองทุนถาวร” ไม่ใช่เป็นแบบลักษณะกองทุนเฉพาะกิจเหมือนที่เคยมีมาในอดีตเมื่อปี 2554 เกิดวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทยหลังจากนั้น 2 ปีสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้ยุบกองทุนดังกล่าว
ขณะนี้ ทางคณะทำงานสมาคมฯ อยู่ระหว่างการศึกษาโครงสร้างกองทุนประกันภัยพิบัติ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น เบื้องต้นมองว่า มูลค่ากองทุนที่รับความเสี่ยงภัยพิบัติ ที่ 50,000 ล้านบาท เท่าเดิมถือว่ายังเพียงพอและเหมาะสมอยู่
สำหรับ วัตถุประสงค์ของกองทุนนี้ เพื่อจัดตั้งกองทุนรองรับภัยพิบัติในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยประสบภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและต้นทุนการทำประกันภัยต่อได้ดียิ่งขึ้น
อีกทั้ง เพื่อเป็นกลไกในการดูแลประชาชนและสังคมในส่วนของภาครัฐด้วย และ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศ
จ่อฟื้น “กองทุนประกันภัยพิบัติ” สู่รูปแบบถาวร
นอกจากนี้ เพื่อรวบรวมสถิติและข้อมูลภัยพิบัติให้ชัดเจนขึ้น สำหรับกำหนดแผนที่ความเสี่ยงและเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม
สำหรับรูปแบบการทำงาน ในของการรวมความเสี่ย บริษัทประกันภัยจะนำเบี้ยประกันภัยต่อที่เกี่ยวกับภัยพิบัติมาทำประกันภัยต่อที่กองทุนนี้แทนการทำประกันภัยต่อกับผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศโดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดกองเบี้ยประกันภัยขนาดใหญ่
และกองทุนนี้จะมีการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารกองทุน และการรวมความเสี่ยงและขนาดที่ใหญ่ของกองทุนจะช่วยลดต้นทุนการประกันภัยต่อโดยรวมของประเทศลง และเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรองกับผู้รับประกันภัยต่อต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศยังมีการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง โดยกองทุนสามารถใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอื่น ๆ นอกเหนือจากการประกันภัยต่อ เช่น CAT bond (Catastrophe bond) หรือตราสารหนี้ภัยพิบัติ ซึ่งการสนับสนุนจากภาครัฐนั้น รัฐบาลอาจเข้ามาสนับสนุนในรูปแบบของการการันตีความเสียหายผ่าน CAT Bond แทนการเติมเงินเข้ากองทุนโดยตรง หมายถึง การรับปากว่าจะช่วยหากความเสียหายเกินกว่าที่กำหนดไว้ ขณะที่การลงทุน จะมาจากกองทุนสามารถนำเบี้ยประกันภัยที่ได้รับมาไปลงทุนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมได้
สมาคมฯ ต้องการให้ภาครัฐมีการรับแนวคิดและหลักการในการจัดตั้งขึ้นกองทุนนี้ขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในปีนี้ และสามารถดำเนินการจัดตั้งได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2569 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้เต็มรูปแบบในปี 2570
“ตอนนี้บริษัทประกันอยู่ในช่วงเตรียมต่อสัญญาประกันภัยพิบัติของปีหน้า กับบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ ที่กำลังเตรียมขึ้นเบี้ยในไทย แน่นอน แม้ว่าน้ำท่วมพื้นที่ภาคเหนือและใต้ ในไทยปีนี้ คาดความเสียหายเพิ่มขึ้นราวเท่าครึ่ง ซึ่งน้อยกว่าครั้งน้ำท่วมปี 2554 เสียหายเพิ่มขึ้น มากกว่า 20 เท่าตัว ค่าเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่าตัว มองว่า จริง ๆ แล้วกองทุนนี้ไม่ควรยุบลง หากกองทุนยังมีเบี้ยสะสมอยู่ ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน จะมีเงินมารับรองความเสียหายและช่วยเหลือในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และทำให้เรามีอำนาจต่อรองเบี้ยประกันภัยต่อกับต่างประเทศได้ ต้นทุนยิ่งถูกลง”
คาดมูลค่าความเสียหายอุทกภัยภาคใต้2.3-2.7 หมื่นล้าน
ขณะเดียวกัน จากการติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบจากมหาอุทกภัยภาคใต้ จากข้อมูลของสำนักงาน คปภ. ณ 15 ธ.ค. 2568 พบว่ามีจำนวนกรมธรรม์ที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวม 62,147 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 16,029 ล้านบาท และเมื่อรวมการประเมินความเสียหายเพิ่มเติม คาดว่ามูลค่าความเสียหายรวมจากเหตุอุทกภัยครั้งนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ 23,000-27,000 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็น รถยนต์ที่ได้รับความเสียหายประมาณ 25,000 ถึง 30,000 คัน (เฉพาะในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ประมาณ 9,000-12,000 คัน) มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 11,000-13,000 ล้านบาท และประกันภัยทรัพย์สินรวมประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเชิงสัดส่วนกรมธรรม์ที่ได้รับผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด โดยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในพื้นที่น้ำท่วมมีสัดส่วนเพียง 6.4% และประกันภัยทรัพย์สิน 11.7% ของกรมธรรม์ทั้งหมด
ซึ่งยังไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันวินาศภัยไทย โดยอุตสาหกรรมยังมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับสูงกว่า 200% และภาระสินไหมทดแทนหลังการประกันภัยต่ออยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ใหญ่ในอดีต
“จากการประเมินในทุกมิติ สมาคมฯ ยืนยันว่า ระบบประกันวินาศภัยของประเทศยังมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง เงินกองทุนและการบริหารการประกันภัยต่ออยู่ในระดับที่สามารถรองรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์รุนแรงได้อย่างเพียงพอ”
แนวโน้มประกันวินาศภัยปี 68 โต 2-3%
ดร.สมพร กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพของระบบประกันวินาศภัยไทยในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการสร้างความตระหนักด้านการประกันภัยธรรมชาติในวงกว้าง สมาคมฯ จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการดูแลผู้เอาประกันภัย เสริมความพร้อมของระบบ และยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชน เพื่อให้ระบบประกันวินาศภัยเป็นกลไกหลักในการคุ้มครองเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับ แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2568 สมาคมฯ คาดการณ์ว่า ทั้งปี 2568 ยังคงมีเติบโต 2-3% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 292,290-295,150 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2568 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 215,103 ล้านบาท เติบโต 2.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
พร้อมกันนี้ คาดการณ์แนวโน้มปี 2569 ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 301,000-303,900 ล้านบาท เติบโต 2.5-3.5% สะท้อนถึงความสามารถของระบบประกันวินาศภัยไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและภัยพิบัติที่มีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญความท้าทายในหลายมิติ ทั้งความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเฉพาะด้านมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยงรูปแบบใหม่จากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภัยไซเบอร์ และประเด็น ESG
จับตาปี 69 ต้นทุนประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น
ดร.สมพร กล่าวว่า ปี 2569 มีปัจจัยท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนการซ่อมและอะไหล่ของรถยนต์ไฟฟ้า ความถี่และความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อประกันอัคคีภัย และ IARs ตลอดจนต้นทุนการประกันภัยต่อที่ปรับเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการค้าโลกยังส่งผลต่อประกันภัยทางทะเลและขนส่ง ส่วนประกันภัยสุขภาพเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่อทิศทางการเติบโตของเบี้ยประกันภัยในแต่ละกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ภายใต้ความเสี่ยงที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยได้เตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ดังนี้
1 .มุ่งบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศผ่านการใช้แบบจำลองภัยพิบัติและการประกันภัยต่ออย่างเหมาะสม
2.ควบคู่กับการเสริมเสถียรภาพระบบประกันสุขภาพผ่านความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อควบคุมต้นทุนและรับมือเงินเฟ้อทางการแพทย์
พร้อมกันนี้ 3. ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ส่งผลต่อโครงสร้างการรับประกันภัยอย่างชัดเจน ทั้งในด้านความถี่และมูลค่าความเสียหาย ตลอดจนต้นทุนการซ่อมและอะไหล่ โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 54% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
“ประเด็นที่ภาคธุรกิจต้องติดตามและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบโดยสนับสนุนการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยบนพื้นฐานข้อมูลความเสี่ยงจริง ต้นทุนอะไหล่ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ พร้อมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนามาตรฐานประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน”
สมาคมฯ เชื่อมั่นว่า แนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมความมั่นคงของระบบประกันวินาศภัย เพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยงรอบด้าน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว







