ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ รับเฟดลดดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ รับเฟดลดดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทวันนี้ 17 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“แข็งค่า“ ที่ระดับ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ย2ครั้งในปีหน้า มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.40-31.60 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.47 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
  • ปัจจัยหนุนมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า
  • การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้
  • นักวิเคราะห์มองกรอบเงินบาทในวันนี้ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.60 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.47 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” มองกรอบเงินบาท ในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.60 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down ทดสอบโซน 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า (แกว่งตัวในกรอบ 31.39-31.53 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยจังหวะการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวสูงขึ้นของ ราคาทองคำ (XAUUSD) ตอบรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง อย่างแน่นอนในปีหน้า มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ รับเฟดลดดอกเบี้ย

หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาแย่กว่าคาด ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ขณะเดียวกัน ฝั่งตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันให้เงินยูโร (EUR) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็เริ่มชะลอการแข็งค่า หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้ 

แนวโน้มค่าเงินบาท 

แนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้เริ่มชะลอตัวลงบ้าง ท่ามกลางการส่งสัญญาณพร้อมเข้ามาดูแลค่าเงินบาทจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการแสดงความกังวลต่อแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจากทางรัฐบาล ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) โดยเฉพาะในวันนี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองอีกครั้ง หลังรับรู้ผลการประชุม กนง. ของไทย ในช่วง 14.00 น. 

เราขอเน้นย้ำว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต พบว่า เงินบาทแทบไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ ในรอบการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ผ่านมา โดยมีเพียงการลดดอกเบี้ยครั้งแรก ที่เซอร์ไพรส์ทั้งนักวิเคราะห์และผู้เล่นในตลาด ถึงจะสามารถกดดันให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้พอสมควร ดังนั้น ในการประชุม กนง. วันนี้ เรามองว่า เงินบาทจะเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ หาก กนง. ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ กนง. มีมติลดดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อประคองเศรษฐกิจไทย 

แต่หาก กนง. ลดดอกเบี้ยตามคาด แต่ไมได้ส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคตที่ชัดเจน และไม่ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจยังคงประเมินว่า กนง. อาจพอลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้บ้างถึงระดับ 1.00% ทำให้ อาจเห็นโฟลว์ซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยหนุนเงินบาทได้ 

ในทางกลับกัน หาก กนง. คงดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด และส่งสัญญาณที่ชัดเจน ว่า การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ยาก ยกเว้นเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงด้านลบที่รุนแรง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของไทย ทำให้บรรดาผู้เล่นต่างชาติ (รวมถึงผู้เล่นในไทย) อาจทยอยขายทำกำไรบอนด์ระยะยาว และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรบอนด์ระยะยาวจากบรรดานักลงทุนต่างชาติดังกล่าว ก็อาจพอกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้บ้าง ทว่า หาก กนง. คงดอกเบี้ย แต่ไม่ได้ปิดโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตที่ชัดเจน เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงเชื่อว่า กนง. จะสามารถลดดอกเบี้ยต่อได้ในอนาคต (จนกว่าจะเห็นการคงดอกเบี้ยอีก 1-2 การประชุมข้างหน้า ผู้เล่นในตลาดถึงจะเลิกเชื่อว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม) ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย หากบอนด์ยีลด์มีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาจริง ก็อาจยิ่งหนุนให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นได้ 

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว โดยเฉพาะหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่ม Healthcare ทว่าก็พอได้แรงหนุนบ้างจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.24% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.23%   

ฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.47% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารและการบิน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังมีความคืบหน้า ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลแนวโน้มอุปทานน้ำมันตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น หากสงครามยุติลงได้ในที่สุด 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.15% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่นั้นออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด นอกจากนี้ บรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้บ้าง เราประเมินว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ของเฟดในปีหน้า ทว่า เงินดอลลาร์ก็ทยอยรีบาวด์สูงขึ้น จากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดและการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ที่เผชิญแรงกดดันจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยุโรป ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.9-98.3 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่กว่าคาด รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยตามแรงขายทำกำไรและจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แต่ยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซน 4,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเราประเมินว่า กนง. อาจพิจารณา ลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 1.25% เพื่อประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน พร้อมทั้งช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับครัวเรือนกลุ่มเปราะบางและภาคธุรกิจ SMEs 

ส่วนทางฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์รวมถึงเรา ต่างมองว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.75% ก่อน จากความกังวลเสถียรภาพค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) ที่ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทว่า BI ยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้บ้างในปีหน้า เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่