หุ้นกู้ ‘ผิดนัด-ยืดชำระ’ พุ่งโค้งท้ายปี ยอดรวม 1.6 หมื่นล้าน

หุ้นกู้ ‘ผิดนัด-ยืดชำระ’ พุ่งโค้งท้ายปี ยอดรวม 1.6 หมื่นล้าน

ThaiBMA ชี้หุ้นกู้มีปัญหายังพุ่ง! 11 เดือนผิดนัด - ปรับโครงสร้าง 7.3 พันล้าน ยืดชำระทะลุ 5.6 หมื่นล้าน ไตรมาส 4/68 เพิ่มต่อเนื่องรวม 1.6 หมื่นล้าน ย้ำต้องระวังรายบริษัท

KEY

POINTS

  • ในช่วงท้ายปี 2568 (ต.ค.- พ.ย.) มูลค่าหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระ และขอเลื่อนชำระหนี้รวมกันพุ่งสูงถึง 1.6 หมื่นล้านบาท
  • สาเหตุหลักเกิดจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า ทำให้หลายบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่อง และระดมทุนใหม่ได้ยาก
  • กลุ่มหุ้นกู้ "High yield" (เรตติ้งต่ำ) มีความเสี่ยงสูงที่จะผิดนัดหรือขอเลื่อนชำระหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

"ตลาดตราสารหนี้ไทย” เข้าสู่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ล่าสุดมีหุ้นกู้จะครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่ารวมสูงถึงระดับ 218,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 195,263 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลอดทั้งปี 2568 มีหุ้นกู้ครบกำหนดรวม 867,982 ล้านบาท

ที่น่าจับตา และถือเป็นความเสี่ยงสูงคือ “หุ้นกู้กลุ่ม High yield” (เรตติ้งต่ำกว่า BBB- ถึงไม่มีเรตติ้ง) ซึ่งมีมูลค่ารวม 24,381 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 11% ของหุ้นกู้ครบกำหนดในไตรมาส 4 ปี 2568 กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ หรือผิดนัดชำระหนี้เพิ่มเติม เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน หลายบริษัทขาดสภาพคล่อง และไม่สามารถระดมทุนใหม่ได้ง่าย

หุ้นกู้ ‘ผิดนัด-ยืดชำระ’ พุ่งโค้งท้ายปี ยอดรวม 1.6 หมื่นล้าน

ล่าสุด สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงาน “หุ้นกู้ผิดนัดหรือเลื่อนกำหนดชำระ”  ในช่วงม.ค. - พ.ย. ปี 2568 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระ รวม 7,349 ล้านบาท จากผู้ออก 8 ราย  ในปี 2568 หุ้นกู้บางรุ่นที่เคยมีปัญหาในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้รับการอนุญาตจากผู้ถือหุ้นกู้ปรับโครงสร้างหนี้ และมีหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระ รวม 56,018 ล้านบาท จากผู้ออก 22 รายในปี 2568 ผู้ออก15 รายใหม่ เพิ่งเคยเลื่อนกำหนดชำระเป็นครั้งแรก

ช่วงไตรมาส 4 /2568  (เฉพาะเดือนต.ค.- พ.ย.) พบว่า “หุ้นกู้ผิดนัดหรือเลื่อนกำหนดชำระ” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2568   โดย หุ้นกู้ผิดนัดเดือนต.ค.- พ.ย. รวม 2,837.20 ล้านบาท จาก 3 ผู้ออกรายเดิม ดังนี้ เดือนต.ค. มี จำนวน 3 รายเดิม 3 รุ่น  ได้แก่ GRAND 1 รุ่น 202 ล้านบาท , TTCL 1 รุ่น 390 ล้านบาท , AQUA 1 รุ่น 90.20 ล้านบาท   ขณะที่เดือนพ.ย.  มีอีก 1 รายเดิม  4 รุ่น  คือ TTCL 4 รุ่น 2,155 ล้านบาท 

ทางด้านหุ้นกู้ เลื่อนกำหนดชำระ เฉพาะเดือนต.ค.- พ.ย. รวม 13,339 ล้านบาท จากผู้ออก 4 รายเดิม และ 3 รายใหม่ ดังนี้ เดือนต.ค. มี 4 รายเดิม  20 รุ่น ได้แก่ CHAYO 5 รุ่น 3,933 ล้านบาท , MJD 7 รุ่น 5,949 ล้านบาท , NAKON 2 รุ่น 387 ล้านบาท, SQ 5 รุ่น 1,213 ล้านบาท   และเดือนพ.ย. มี 3 รายใหม่  4 รุ่น TPCH 1 รุ่น 1,000 ล้านบาท , AQUA 2 รุ่น 647 ล้านบาท , PSTC 1 รุ่น 210 ล้านบาท

นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์  ThaiBMA เปิดเผยว่า การผิดนัดหุ้นกู้หรือเลื่อนชำระส่วนใหญ่มาจากความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัว โดยหวังว่าปี 2569 ปัญหาหุ้นกู้จะทยอยคลี่คลายตามทิศทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้  คาดว่ายอดการออกหุ้นกู้ตลอดปี 2568 จะสามารถแตะระดับ 880,000-900,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย โดยนักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังเลือกลงทุนหุ้นกู้เป็นรายบริษัท 

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ThaiBMA ชี้ว่า  สถานการณ์หุ้นกู้มีปัญหาในไตรมาส 4 ปีนี้ว่า “กลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์” ที่ขอยืดชำระหนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นรายเดิม ส่วนรายใหม่เมื่อยืดชำระหนี้หุ้นกู้แล้วจะออกหุ้นกู้ใหม่ไม่ได้

แต่ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ยังมีหุ้นกู้หลายรุ่นที่ขอประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อ “ขอยืดหนี้” โดยเฉพาะกลุ่ม High Yield เสี่ยงสูง เหตุผลหลักคือ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นชัด ธุรกิจไทยบางแห่งขาดสภาพคล่องชำระหนี้ตามกำหนดเดิม 

“พบบางบริษัทไม่ได้อยากยืดชำระหนี้หุ้นกู้ แต่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว สายป่านไม่ยาว เกิดปัญหาได้ ซึ่งช่วงที่รอเศรษฐกิจฟื้น การยืดหนี้ยังเป็นทางออกที่ดี สำหรับบริษัทที่ยังตั้งใจทำธุรกิจ และพยายามแก้ไขปัญหา การผิดนัดชำระหนี้จะไม่เกิดขึ้น และทำให้ทั้งเงินต้น และภาระหนี้ลดลงได้ การทยอยคืนเงินต้นให้กับผู้ถือหุ้นกู้อย่างเหมาะสม และยุติธรรม ถือเป็นสิ่งที่ดีกับทุกฝ่าย"

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง มองว่า “หุ้นกู้ไฮยีลด์” ยังมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะใน “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ที่ยังมีปัจจัยกดดันต่อเนื่อง ทั้งจาก หนี้ต่อทุนสูงในรอบหลายปี สัดส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายต่ำในรอบหลายปี  ภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวปีนี้ และปีหน้าฟื้นช้า 

แต่ประเมินว่า ปัญหาหลักๆ มาจากผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็ก ส่วนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ยังไม่แย่มากนักในตอนนี้ ผู้ประกอบการพยายามรัดเข็มขัด ไม่เน้นสร้างโครงการใหม่ แต่เน้นระบายของเดิม ทำให้ความเสี่ยงลดลง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์