‘บลจ.จิตตะ’มองปี69โลกลงทุน ความเสี่ยงสูง เร่ง‘รีบาลานซ์พอร์ต’ 

‘บลจ.จิตตะ’มองปี69โลกลงทุน  ความเสี่ยงสูง เร่ง‘รีบาลานซ์พอร์ต’ 

โลกแห่งการลงทุนในช่วงปลายปี 2568 “ร้อนระอุขึ้น” อย่างไม่คาดคิด เมื่อความสัมพันธ์ระหว่าง “จีนและญี่ปุ่น” 

KEY

POINTS

  • บลจ. จิตตะ เวลธ์ ประเมินว่าปี 2569 โลกการลงทุนจะเผชิญความเสี่ยงสูงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (จีน-ญี่ปุ่น) และความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
  • ตลาดหุ้นหลักอย่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีความเสี่ยงสะสมและอาจเกิดการปรับฐานรุนแรง
  • คำแนะนำหลักสำหรับนักลงทุนคือการเร่ง "รีบาลานซ์พอร์ต" โดยทยอยขายสินทรัพย์ที่สัดส่วนเกินเป้าหมาย ถือเงินสดรอโอกาส และเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
  • ข้อมูลจาก AI ของ Jitta Wealth ชี้ว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงมีสัดส่วนหุ้นราคาถูกที่น่าสนใจกว่าตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโอกาสในการพิจารณาลงทุน

โลกแห่งการลงทุนในช่วงปลายปี 2568 “ร้อนระอุขึ้น” อย่างไม่คาดคิด เมื่อความสัมพันธ์ระหว่าง “จีนและญี่ปุ่น” ถูกจุดชนวนจากประเด็น “ไต้หวัน” สอดรับญี่ปุ่นแสดงท่าทีพร้อมยืนเคียงข้างสหรัฐ

ขณะที่ “จีนตอบโต้ทันที” ด้วยการจำกัดเที่ยวบินไปญี่ปุ่นยาวนานถึงปี 2569 ผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะ “ท่องเที่ยว” และ “ค้าปลีก” ของญี่ปุ่นที่สูญเสียรายได้มหาศาลจากนักท่องเที่ยวจีน การประเมินเบื้องต้นชี้ว่าความเสียหายอาจแตะระดับ 9 พันล้านดอลลาร์หากมาตรการนี้ยืดเยื้อ

‘บลจ.จิตตะ’มองปี69โลกลงทุน  ความเสี่ยงสูง เร่ง‘รีบาลานซ์พอร์ต’ 

ขณะที่อีกซีกโลก ตลาดกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน ทั้งการปรับฐานของ “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแรงเทขายจาก Yen Carry Trade ที่ไม่คุ้มค่าอีกต่อไปเมื่อส่วนต่างดอกเบี้ยเหลือเพียง 2% นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกกลับไปถือเงินสดและดอลลาร์ ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทองคำ” ซึ่งเคยเป็นพระเอกตลอดสองปีที่ผ่านมา ก็เริ่มแสดงสัญญาณเหนื่อย ราคาที่เคยทำสถิติสูงสุดใหม่กลับหยุดนิ่งและเผชิญแรงขายจากนักลงทุนที่ทำกำไรไปแล้ว ความไม่แน่นอนจีนจะยังคงซื้อทองคำต่อเนื่องหรือไม่ ทำให้ตลาดทองคำเข้าสู่ภาวะคาดการณ์ได้ยากขึ้น

มองย้อนกลับไป “ตลาดหุ้นสหรัฐ”และ “ญี่ปุ่น” ต่างปรับตัวขึ้นแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา S&P 500 ขึ้นรวมกว่า 60% ในรอบสามปี ขณะที่ Topix ของญี่ปุ่นขึ้นรวมกว่า 100% ในรอบสิบปี การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ แม้สะท้อนความแข็งแกร่ง แต่ก็ทำให้ความเสี่ยงสะสมอยู่ในระดับสูง

นักลงทุนที่มีประสบการณ์จึงเริ่มเข้าสู่โหมด Defensive Mode ตามคำแนะนำของ Howard Marks ที่เตือนว่า “เมื่อสินทรัพย์ขึ้นแรงต่อเนื่อง ความเสี่ยงมักมากกว่าผลตอบแทน” 

“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” CEO บลจ.จิตตะ เวลธ์ (Jitta Wealth) มองว่า ในเชิงจิตวิทยาตลาด ปัจจุบันบรรยากาศการลงทุนเข้าสู่โหมด “Extreme Fear” นักลงทุนรับรู้ว่าความเสี่ยงสูงมาก แต่ยังไม่อยากออกจาก“ปาร์ตี้” ก่อนเวลา หากตลาดยังขึ้นต่ออีก 10-20% ก็ถือว่าได้กำไรเพิ่ม แต่หากเกิดการปรับฐานลง 30-40% ความเสียหายจะรุนแรงทันที

หากดูความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลดลง -1.74% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ถ้าดูภาพรวมทั้งปี ดัชนี S&P 500 ถือว่าดี +12% (YtD)  ถ้าจะมองแค่ปีเดียวก็เหมือนจะปกติใช่ไหมครับ แต่ถ้าดู 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นรวมๆ 60% แล้ว ถือว่า “ขึ้นมาสูงระดับนึง” แล้ว

โดยดูจากข้อมูล Market Prediction ว่าประเทศไหนน่าลงทุนที่สุด? Alpha AI ของ Jitta Wealth ประเมิน 4 ตลาดหุ้นหลักของโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 11 พ.ย. 68) ตลาดหุ้นจีน จำนวนหุ้นถูก 42 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 8 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 5.25 เท่า ตลาดหุ้นฮ่องกง จำนวนหุ้นถูก 35 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 15 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 2.33 เท่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จำนวนหุ้นถูก 32 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 18 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 1.78 เท่า ตลาดหุ้นสหรัฐ จำนวนหุ้นถูก 28 ตัว มากกว่าหุ้นแพงมี 22 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 1.27 เท่า

สำหรับคนที่สนใจจะลงทุนตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง แนะนำให้แบ่งไม้ลงทุน โดยไม้แรก ณ ระดับปัจจุบัน สามารถลงทุนได้ก็ลงทุนไปก่อน และไม้ที่สอง หุ้นปรับฐาน 10-20% มีเงินรอก็สามารถซื้อเพิ่มไม้สองได้ลงทุนแบบนี้จะปลอดภัยและเป็นแนวทางที่ดีกว่าการรอตลาดปรับฐานสุดแล้วค่อยซื้อ

ดังนั้น การจัดพอร์ตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้  โดยกลยุทธ์เหมาะสมคือการ “รีบาลานซ์พอร์ต” ทยอยขายสินทรัพย์ที่เกินสัดส่วนที่ตั้งไว้ เช่น หากหุ้นสหรัฐมีน้ำหนักในพอร์ตเกิน 56% ก็ควรลดลงเพื่อรักษาสมดุล ถือเงินสดบางส่วนเพื่อรอโอกาสใหม่ในปีหน้า และเพิ่มสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหุ้น เช่น ตราสารหนี้คุณภาพสูงหรือกองทุนตลาดเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบ

ถามว่าจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรดี เพื่อรับมือสถานการณ์ที่น่ากังวลและความผันผวนลากยาวข้ามไปถึงปีหน้า 2569 ยังแนะนำหลักการจัดพอร์ตง่ายๆ เหมือนเดิม คือ “Core & Satellite Portfolio” โดยแนะนำให้มีพอร์ตหลัก (Core) ก่อน แล้วจึงสร้างพอร์ตรอง (Satellite) จัดน้ำหนักแต่ละพอร์ตสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ 

เมื่อโลกปีหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ การลงทุนจึงไม่ใช่การทายอนาคต แต่คือการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย การรีบาลานซ์พอร์ตไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากความผันผวน แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสใหม่เมื่อคลื่นเศรษฐกิจโลกสงบลง