MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 8-12 ธันวาคม 2568

เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง แต่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
• เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องในปี 2569
เงินบาทแข็งค่าผ่านระดับ 31.60 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในกรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง (นับตั้งแต่ 22 มิ.ย. 2564) ที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย หลังท่าทีจากประธานเฟดสะท้อนความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปี 2569 ต่อเนื่องจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่กรอบ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 9-10 ธ.ค. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
• ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (4 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 8-12 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 233 ล้านบาท และสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 9,876 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 346 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 10,222 ล้านบาท)
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่ ต่างชาติกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์
SET Index ปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาต่อมาก่อนวันหยุดของตลาดในประเทศ โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงอีกครั้งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังทราบผลการประชุมเฟด โดยแม้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว (TISA) ของกระทรวงการคลังก็ยังไม่มีข้อสรุป
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วงท้ายสัปดาห์ โดยแม้จะมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับขึ้นโดยภาพรวม แต่ข่าวการประกาศยุบสภารวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังไม่คลี่คลายก็ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุน
• ในวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,254.10 จุด ลดลง 1.54% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 32,233.71 ล้านบาท ลดลง 10.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.10% มาปิดที่ระดับ 211.65 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (15-19 ธ.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,245 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (17 ธ.ค.) ประเด็นการเมืองในประเทศ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีราคาผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB, BOE และ BOJ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร







