ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘ หวังเฟดลดดบ.มากกว่าคาด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘  หวังเฟดลดดบ.มากกว่าคาด

ค่าเงินบาทวันนี้ 12 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“แข็งค่า“ ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้ตลาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.55-31.80 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 12 ธ.ค. แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์
  • ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้
  • เงินบาทยังได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยนักวิเคราะห์มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ 31.55-31.80 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.63 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  31.77 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้  คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.80 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 31.60-31.87 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ในปี 2026 มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด 

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ ราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ได้อานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ เริ่มเผชิญความไม่แน่นอน จากประเด็นความกังวลต่อผลประกอบการของหุ้นธีม AI รายใหญ่ อย่าง Oracle -10.8% ซึ่งส่งผลกดดันให้ บรรดาหุ้นธีม AI ต่างปรับตัวลดลง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12 ธ.ค.68 ‘แข็งค่า‘  หวังเฟดลดดบ.มากกว่าคาด

แนวโน้มค่าเงินบาท 

แนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน 

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ในส่วนของเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ทว่า อาจต้องรอติดตามบรรยากาศในตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นธีม AI อย่าง Oracle มากขึ้น ทำให้ หากตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ และช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แต่ภาวะดังกล่าวจะหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้มากน้อยเพียงใด อาจต้องติดตามว่า ผู้เล่นในตลาดจะเลือกถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือเลือกจะที่หลบความผันผวนในเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) 

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย หลัง นายกฯ ประกาศยุบสภา แม้จะเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน อย่าง สถานการณ์การสู้รบระหว่าง ไทย-กัมพูชา ที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากบรรดาผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็อาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยอาจจะเน้นที่ฝั่งหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากในส่วนบอนด์นั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บอนด์ระยะยาวไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังมั่นใจว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ 

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังพอได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้น AI ใหญ่ อย่าง Oracle -10.8% ซึ่งกดดันให้บรรดาหุ้นธีม AI ต่างปรับตัวลดลง ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.21% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -0.25%   

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.55% ตอบรับความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการย่อตัวลงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ASML -0.5% 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ 4.10%-4.16% แม้ผู้เล่นในตลาดจะเชื่อว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2026 มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด  ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้ โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ทิศทางตลาดการเงินโดยรวมที่ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลผลประกอบการของหุ้น AI ใหญ่ อย่าง Oracle มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 98.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-98.7 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปี 2026 มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด กอปรกับภาวะระมัดระวังตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของหุ้น AI อย่าง Oracle ยังคงช่วยให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งอังกฤษ อย่าง ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรายเดือน (Monthly GDP) ในเดือนตุลาคม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็มีส่วนส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ 

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของ สงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ได้ประกาศยุบสภา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่