ลุ้นเฟด‘จุดโฟกัส’ตลาดเงินโลก ลดดบ.ดัน‘ทองคำ’จ่อ7หมื่นบาท

ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
KEY
POINTS
- ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
- การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- นักวิเคราะห์ประเมินว่าราคาทองคำในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 67,500 - 70,000 บาท หากเฟดลดดอกเบี้ยตามคาด
การประชุม “ธนาคารกลางสหรัฐ”(เฟด) ในสัปดาห์นี้ 9-10 ธ.ค. นี้ กลายเป็น “จุดโฟกัสสำคัญ” ของตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะ “ตลาดทองคำ” ที่กำลังจับตาการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด
หลังจากที่ตลอดปีนี้เฟดได้ “ปรับลดดอกเบี้ย” มาแล้ว 2 ครั้ง และคาดประชุมครั้งนี้อาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้บรรยากาศลงทุนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความผันผวน
ดังนั้น นักลงทุนทั่วโลกต่างเฝ้ารอว่า “ทองคำ” จะยังคงเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ที่ตอบโจทย์ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนหรือไม่ประเมินทิศทางราคาทองคำสัปดาห์นี้ (8-12 ธ.ค.) ในการประชุมเฟดจะนำไปสู่ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ซึ่งเป็นการลดครั้งที่ 3 ในปีนี้
ผลการ “ลดดอกเบี้ย” ครั้งนี้ คาดส่งผลให้ราคาทองคำ “ดีดตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”ในช่วงระหว่าง 5 -10 ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงก่อนการประชุมคาดราคาทองคำจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ที่ระดับ 4,180-4,230 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากมีการ “ลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้จริง” ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะ “ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง” โดยมีโอกาสที่จะแตะระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากเฟดประกาศ “ลดดอกเบี้ย”
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันหากเฟดตัดสินใจ “ไม่” ลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ จะมี “ความเสี่ยงสูง” ที่จะทำให้ราคาทองคำ “ถูกเทขาย” โดยมีแนวรับหลักอยู่ที่ 4,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) มองว่า โดยรวมแล้ว ตลาดทองคำยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด และยังคงแนะนำให้ทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัว เพื่อรอแรงหนุนจากการตัดสินใจของเฟด
พร้อมกันนี้ ยังได้ประเมินทิศทางราคาทองคำระยะยาว โดยอิงจากผลการตัดสินใจของเฟด มองหากเฟดลดดอกเบี้ยและคงโทนผ่อนคลาย มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง คาด ณ สิ้นปีนี้ ราคาทองคำมีโอกาสที่จะกลับขึ้นไปแตะบริเวณจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์
หากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยราคาทองคำอาจจะปิดปีนี้แถวบริเวณ 4,200 ดอลลาร์ หรืออาจจะต่ำกว่านั้น โดยได้ตั้งเป้าหมายราคาทองคำตลาดโลกไว้ที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้เคียงสถาบันการเงินทั่วโลก ขณะที่ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสแตะ 67,500 -70,000 บาทได้
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ชี้ตัวเลขเข้าซื้อทองคำเพิ่มต่อเนื่องในเดือนต.ค. ตอกย้ำความมั่นใจ “เทรนด์ขาขึ้น” เหตุแม้เดือนต.ค. ราคาทองคำเริ่มพุ่งแรงทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เทียบจากเปิดต้นปีที่ประมาณ 2,624 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนนโยบายเดินหน้าซื้อแม้ราคาทรงตัวระดับสูง พร้อมมองนโยบายธนาคารกลางยังคงเน้นเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ และความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกมากกว่าเรื่องราคา โดยเฉพาะกระจาย “ความเสี่ยง” และ “ลดพึ่งพาดอลลาร์”
“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วายแอลจี กล่าวว่า ล่าสุด รายการการเข้าซื้อทองคำในเดือนต.ค. ของธนาคารกลางที่ยังคงแข็งแกร่งมียอดรวม 53 ตัน เพิ่มขึ้น 36% เทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นความต้องการทองคำของธนาคารกลางในปี 2568 มีความแข็งแกร่งตลอดทั้งปี แม้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ม.ค.ถึงต.ค. จะเป็นอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น วายแอลจีประเมินว่าในปี 2569 ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงเดินหน้านโยบายการซื้อทองคำต่อไป และจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงในช่วงนี้จะเป็น 2 ปัจจัยหลักสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
โดยวายแอลจีให้เป้าหมาย ราคาทองคำ ปี 2569 ที่ 4,500-4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือหากคิดเป็นราคาทองคำในประเทศโดยคำนวณจากค่าเงินบาทที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ จะมีเป้าหมายที่ 68,000-75,000 บาท
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนต้องตระหนักคือ ความผันผวนระยะสั้นจากการตัดสินใจของเฟด ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำแกว่งแรงทั้งขึ้นและลงในช่วงสัปดาห์นี้ หากเฟดยังคงเดินหน้าลดดอกเบี้ยและธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง แนวโน้มราคาทองคำแตะระดับเป้าหมายใหม่ที่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือทองคำไทยที่ 70,000-75,000 บาท







