ราคาทองคำโลกปรับขึ้นก่อนเฟดลดดอกเบี้ย เงินพุ่งแตะออลไทม์ไฮ

ราคาทองคำโลกปรับขึ้นล่วงหน้าก่อนเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ย โลหะเงินพุ่งแตะหมุดหมาย 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาลเมื่อคืน จากปัญหาซัพพลายตึงตัว
รอยเตอร์ รายงานราคาทองคำขยับขึ้นในวันอังคาร (9 ธ.ค.68) ขณะที่ผู้ค้ายังคงมองบวกก่อนการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ราคาโลหะเงินพุ่งขึ้นทำสถิติไม่เคยมีมาก่อนที่ 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางภาวะตึงตัวด้านอุปทาน
ราคาทองคำตลาดสปอตโลก (Spot Gold) เพิ่มขึ้น 0.5% สู่ระดับ 4,208.83 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 13:58 น. ตามเวลานิวยอร์ก (18:58 น. GMT) ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ (US Gold Futures) ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ปิดบวก 0.4% ที่ 4,236.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โลหะเงินตลาดสปอตทะยานขึ้น 4.2% แตะ 60.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำระดับสูงสุดตลอดกาล
“ผู้คนกำลังคาดหวังมากว่าจะมีอุปสงค์อุตสาหกรรมต่อเงินที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี นั่นคือเหตุผลที่ราคาเงินถูกไล่ซื้อขึ้นมา” ฟาวาด ราซักซาดา นักวิเคราะห์ตลาดจาก City Index และ FOREX.com กล่าว พร้อมเสริมว่าโมเมนตัมฝั่งซื้อยังแข็งแรงในตอนนี้
สมาคมอุตสาหกรรมโลหะเงิน ระบุในรายงานวิจัยว่า ภาคธุรกิจต่างๆอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นแรงขับสำคัญให้อุปสงค์อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2030
ราคาโลหะเงินยังได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัวเรื้อรังและสต็อกทั่วโลกที่ลดลง ความคาดหวังว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ย ตลอดจนการที่เงินถูกบรรจุเข้าในบัญชีรายชื่อแร่ธาตุเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้
“โลหะมีค่ามีความผันผวนในตัว แต่ตราบใดที่เราไม่แก้ปัญหาขาดดุลอุปทาน ทิศทางของเงินก็มีทางเดียวคือขึ้น” มาเรีย สเมียร์นอวา ผู้จัดการกองทุนอาวุโสและซีไอโอของ Sprott Asset Management กล่าว
ในด้านนโยบายการเงิน การประชุมเฟดสองวันจะสิ้นสุดลงพร้อมคำตัดสินในวันพุธ ขณะนี้เทรดเดอร์ให้น้ำหนักราว 87.4% ต่อโอกาสจะมีการลดดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์นี้
“การขยับขึ้นของทองคำในตอนนี้มาจากแรงหนุนสำคัญสองด้าน คือ การพุ่งขึ้นแรงของราคาโลหะเงิน และความคาดหวังสูงต่อการลดดอกเบี้ยอีก 0.25%” บ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักกลยุทธ์อาวุโสของ RJO Futures กล่าว
ขณะเดียวกัน รายงาน JOLTS ของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่าจำนวนตำแหน่งงานว่างเพิ่มขึ้นเป็น 7.67 ล้านตำแหน่งในเดือนตุลาคม สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 7.15 ล้านตำแหน่ง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
ฮาเบอร์คอร์นกล่าวว่า ทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากรายงานดังกล่าวมากนัก พร้อมเสริมว่า “เรามีโอกาสเห็นราคาเงินซื้อขายเหนือ 70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และทองคำกำลังมุ่งหน้าไปสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์”
ด้านแพลทินัมพุ่งขึ้น 3% สู่ระดับ 1,691.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลเลเดียมปรับขึ้น 2.7% มาอยู่ที่ 1,505.42 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อัปเดตราคาเช้านี้ (10 ธ.ค. 68)
บลูมเบิร์ก รายงานว่าราคาโลหะเงินทรงตัวอยู่ที่ 60.6822 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 7:15 น. ตามเวลาในสิงคโปร์ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 60.8305 ดอลลาร์ในรอบก่อนหน้า ราคาทองคำเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่ที่ 4,208.46 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลทินัมและแพลเลเดียมทรงตัวเช่นกัน ดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index ปิดรอบก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 0.1%
ราคาเงินทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 60.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเพิ่มขึ้น 4.3% ในรอบก่อนหน้า การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของโลหะเงินในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 จุดในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคม ต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงเป็นปัจจัยหนุนสำหรับโลหะมีค่าที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
การพุ่งขึ้นของโลหะเงินยังได้รับแรงหนุนจากตลาดสินค้าจริงที่ตึงตัว ซึ่งยังคงฟื้นตัวจากภาวะอุปทานตึงตัวครั้งประวัติศาสตร์ในเดือนตุลาคม แม้ว่าภาวะวิกฤตนี้จะคลี่คลายลงแล้ว เนื่องจากมีโลหะไหลเข้าสู่ห้องนิรภัยในลอนดอนมากขึ้น แต่ตลาดอื่นๆ กำลังประสบปัญหาอุปทานตึงตัว สินค้าคงคลังของจีนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษ







