ก.ล.ต.เร่งสปีดบังคับใช้กม. 3ปีคดีพุ่ง หวังสกัดอาชญากรรมตลาดทุน

ก.ล.ต.เร่งสปีดบังคับใช้กม. 3ปีคดีพุ่ง หวังสกัดอาชญากรรมตลาดทุน

นับตั้งแต่ปี 2566-2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นับตั้งแต่ปี 2566-2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านมาตรการทั้ง อาญา แพ่ง และปกครอง ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงการยกระดับประสิทธิภาพการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย

พร้อมแนวทางใหม่ที่จะเตรียมให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. มีบทบาทสอบสวนคดีสำคัญ“high impact” โดยตรง ร่วมกับตำรวจและหน่วยงานพิเศษ เพื่อให้การดำเนินคดีรวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น พร้อมยกระดับการคุ้มครองนักลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย

ก.ล.ต.เร่งสปีดบังคับใช้กม. 3ปีคดีพุ่ง หวังสกัดอาชญากรรมตลาดทุน

นับว่า “การบังคับใช้กฎหมาย” เป็นหนึ่งในบทบาทหน้าที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญมาตลอด โดยดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในทุกกรณี ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงกระบวนการและมีมาตรการหลายด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายภายใต้ความรับผิดชอบของ ก.ล.ต. และจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายกรณีสามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

เนื่องจาก ก.ล.ต.ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจทั้งกระบวนการ โดยเริ่มจากหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญคือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า มีการกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ ก่อนที่จะเลือกมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย โดยในการตรวจสอบแต่ละกรณีมีระยะเวลาในการดำเนินการที่แตกต่างกันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น แหล่งที่มาของพยานหลักฐาน ปริมาณข้อมูลที่ต้องพิจารณา และความซับซ้อนของการกระทำความผิด รวมทั้ง การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงแสดงพยานหลักฐานตามสิทธิอันพึงมีก่อนพิจารณาดำเนินการ

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย. 2568 เผยว่า จำนวนคดีที่แล้วเสร็จของ ก.ล.ต. ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การดำเนินการทางปกครอง ทางอาญา และทางแพ่ง มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2566 มีจำนวน 82 คดี ผู้กระทำผิด 280 ราย ในปี 2567 จำนวน 128 คดี ผู้กระทำผิด 346 ราย และในปี 2568 จำนวน 158 คดี ผู้กระทำผิด 373 ราย 

ในปี 2568 ก.ล.ต. มีการดำเนินการที่เข้มข้นในสองช่องทางหลัก โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์และการทุจริต การดำเนินคดีอาญา (กล่าวโทษ) มีการกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวนรวม 48 คดี ผู้กระทำผิด 114 ราย โดยความผิดสำคัญ 4 กลุ่มหลัก เช่น การกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขาย (สร้างราคา, ใช้ข้อมูลภายใน), การทุจริต,การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ, และการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตมีจำนวน 12 คดี ผู้กระทำผิด 47 ราย

มาตรการลงโทษทางแพ่ง ดำเนินการไป 22 คดี ผู้กระทำผิด 119 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การสร้างราคาและการใช้ข้อมูลภายใน รวม 17 คดี ผู้กระทำผิด 91 ราย มาตรการนี้ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2559 พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการบังคับใช้กฎหมายทั้งด้านหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับการดำเนินการทางอาญา ก.ล.ต. ยังคงติดตามความคืบหน้าการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องของอัยการ และการพิจารณาคดีของศาลอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเชี่ยวชาญในการบังคับใช้กฎหมายในคดีที่มีผลกระทบสูง (high impact) ก.ล.ต. ได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. สามารถเป็นพนักงานสอบสวนเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งพนักงานสอบสวน ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำให้กระบวนการยุติธรรมในคดีสำคัญรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยขณะนี้ข้อเสนอดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในกระบวนการออกกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายและการปรับปรุงกลไกทางกฎหมายนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ ก.ล.ต. ในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในตลาดทุนของประเทศ