เมื่อความคาดหวังใน AI ปะทะความเปราะบางของหนี้นอกตลาด : จุดเปลี่ยนที่โลกการเงินต้องจับตา

เมื่อความคาดหวังใน AI ปะทะความเปราะบางของหนี้นอกตลาด : จุดเปลี่ยนที่โลกการเงินต้องจับตา

การลงทุนมหาศาลใน AI กำลังเผชิญความท้าทายจากการสร้างรายได้ที่ยังไม่สอดรับกับต้นทุนที่พุ่งสูง และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดเริ่มกังวลถึงความยั่งยืนของวัฏจักรการลงทุน

KEY

POINTS

  • การลงทุนมหาศาลใน AI กำลังเผชิญความท้าทายจากการสร้างรายได้ที่ยังไม่สอดรับกับต้นทุนที่พุ่งสูง และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดเริ่มกังวลถึงความยั่งยืนของวัฏจักรการลงทุน
  • บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หันมาพึ่งพาการกู้ยืมและตลาดสินเชื่อเอกชน (Private Credit) เพื่อระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ซึ่งทำให้ตลาดสินเชื่อเอกชนที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ถูกจับตาเรื่องความเสี่ยงและความเปราะบางที่อาจเกิดขึ้น
  • แม้จะมีความกังวล แต่ตลาดสินเชื่อเอกชนมีการแบ่งชั้นคุณภาพชัดเจน โดยสินเชื่อคุณภาพสูงที่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง (sponsor-backed) ยังคงเป็นแหล่งเงินทุนที่น่าสนใจและมีเสถียรภาพสำหรับโครงการเทคโนโลยีระยะยาว
  • จุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังจะมาถึงคือ ตลาดจะหันมาให้ความสำคัญกับ "คุณภาพ" มากกว่า "การเติบโต" โดยจะให้รางวัลแก่บริษัทที่สามารถแปลงเทคโนโลยี AI ให้เป็นรายได้จริงและมีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง แทนที่จะเร่งลงทุนอย่างไร้ทิศทาง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้กลายเป็นหัวใจของกระแสเงินทุนโลก บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างเร่งทุ่มงบประมาณก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและจัดหาหน่วยประมวลผลขั้นสูง โดยเชื่อว่านี่คือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของยุคเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ภายใต้ความเชื่อมั่นนี้ ความท้าทายเชิงเศรษฐศาสตร์เริ่มผุดขึ้นทีละประเด็น ทั้งด้านต้นทุนเงินลงทุนที่ขยายตัวไม่อย่างต่อเนื่อง การพบข้อจำกัด

ทางกายภาพที่เริ่มกลายเป็นคอขวด และความสามารถในการสร้างรายได้ที่ยังไม่สอดรับกับขนาดของเงินลงทุน

แม้ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จะยังประกาศผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่ง แต่ปลายน้ำกลับสะท้อนภาพที่เริ่มเปราะบาง การใช้งานโมเดล AI ส่วนมากยังคงอยู่ในระยะทดลอง การสร้างรายได้ประจำยังไม่ชัดเจน และความแตกต่างระหว่างโมเดลเริ่มลดลงจนเปิดทางให้เกิดการแข่งขันด้านราคาก่อนตลาดจะเติบโตเต็มที่ การเร่งลงทุนจึงกลายเป็นทั้งเครื่องเร่งและแรงกดดันในเวลาเดียวกัน

ที่สำคัญไปกว่านั้น ภาคเทคโนโลยีเองเริ่มเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งพบอุปสรรคด้านกำลังผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอแม้จะมีเงินลงทุนมากเพียงใดก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตของ AI ไม่ได้ขึ้นกับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับสมดุลระหว่างเทคโนโลยี ทรัพยากร และจังหวะเศรษฐกิจด้วย

ในขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดทุนก็เริ่มสะท้อนความกังวลเพิ่มขึ้น การปรับฐานในสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อสภาพคล่องเกิดถี่ขึ้น ในหลายช่วง ผู้ลงทุนจำนวนมากเลือกป้องกันความเสี่ยงมากกว่าจะ “ซื้อเมื่อย่อตัว” แบบที่มักพบในจังหวะฟองสบู่เต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่า ตลาดกำลังให้ความสำคัญถึงความยั่งยืนของวัฏจักรการลงทุนใน AI มากกว่าจะหลงใหลไปกับตัวเลขการเติบโตเพียงด้านเดียว

เมื่อพูดถึงเม็ดเงินลงทุนในด้านเทคโนโลยี รอบการลงทุนด้าน AI กำลังเผชิญความร้อนแรงกว่าปกติ บริษัท hyperscalers ของสหรัฐยังคงเดินหน้าขยาย Capex อย่างไม่ชะลอ โดยใช้เงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลักเฉลี่ยกว่า 60% ของกระแสเงินสด และบางรายใช้ถึงมากกว่า 100% แม้ Capex จะถูกขับเคลื่อนด้วยศรัทธาต่อการเติบโตระยะยาวของ AI แต่ตลาดเริ่มตั้งคำถามว่ารายได้จากโมเดล AI จะสามารถเติบโตมาทันรองรับโครงสร้างต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลได้หรือไม่ ปัจจุบันพฤติกรรมใช้งานยังคงอยู่ในเฟสทดลองมากกว่ากลายเป็นรายได้ประจำ และการแตกต่างเชิงคุณภาพของโมเดลเริ่มลดน้อยลงจนเกิดสภาพของ “AI โมเดลเป็นสินค้าโภคภัณฑ์” เปิดทางให้การแข่งขันด้านราคาเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

นอกจากนี้เราเริ่มเห็นบริษัท Hyperscalers เริ่มมีการระดมทุนผ่านการกู้ยืมที่มากขึ้นซึ่งสะท้อนความต้องการเงินทุนจำนวนมากซึ่งนั่นกลับมาเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นร่วมถึงราคาตราสารที่ใช้ป้องกัความเสี่ยงด้านเครดิต (CDS) ก็พุ่งสูงขึ้นสะท้อนความเสี่ยงที่มากขึ้น ตลาดหนึ่งที่ถูกจับตาควบคู่กันคือ สินเชื่อเอกชน (Private Credit) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี บริษัทพัฒนา Data Center และผู้ให้บริการคลาวด์เฉพาะทางหลายรายใช้สินเชื่อรูปแบบนี้ในการจัดหาเงินทุน เพราะสามารถเข้าถึงได้รวดเร็วกว่าตลาดตราสารหนี้แบบดั้งเดิมและไม่ขึ้นกับสภาพคล่องในตลาดตราสารทุนโดยตรง

แม้จะมีความกังวลว่าการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากทำให้มาตรฐานการปล่อยกู้บางส่วนหย่อนตัวลง แต่ไม่ใช่ว่า Private Credit ทั้งระบบจะมีคุณภาพลดลงเหมือนกันทั้งหมด ความเป็นจริงคือ ตลาด Private Credit แบ่งชั้นคุณภาพชัดเจนมาก และส่วนที่ยังคงแข็งแรง คือสินเชื่อที่มี ผู้สนับสนุนคุณภาพสูง (sponsor-backed) โดยเฉพาะดีลที่มาจาก Private Equity ชั้นนำซึ่งผ่านกระบวนการคัดกรองและดูแลโครงสร้างหนี้เข้มงวดกว่า กลุ่มนี้ยังคงแสดงอัตราผิดนัดต่ำ ความสามารถชำระคืนแน่นอนกว่า และมีแนวโน้มทนทานต่อความผันผวนของวัฏจักรเศรษฐกิจได้ดีกว่า

สินเชื่อประเภท sponsor-backed high-quality loans ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจของตลาด Private Credit เพราะทำหน้าที่เชื่อมช่องว่างระหว่างเงินลงทุนที่ต้องใช้ล่วงหน้ากับรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่ต้องใช้เวลาในการสร้างผลตอบแทน ผู้จัดการสินทรัพย์ที่มีวินัยด้านการคัดเลือกและการกำกับดูแลสินเชื่อสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากดีลในกลุ่มนี้ โดยไม่รับความเสี่ยงที่เกินความจำเป็นเหมือนบางส่วนของตลาดที่มุ่งเน้นการขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วเกินไป

ท้ายที่สุด ปีหน้าที่กำลังจะมาถึงจึงอาจเป็นปีแห่ง “การแยกแยะ” มากกว่าปีแห่ง “การเร่งลงทุน” ตลาดจะให้รางวัลแก่บริษัทที่มีความสามารถในการแปลงเทคโนโลยีให้เป็นรายได้จริง มีรากฐานการเงินที่มั่นคง และวางโครงสร้างทุนที่รองรับความผันผวน ขณะเดียวกันจะเริ่มตั้งคำถามกับบริษัทที่พึ่งพาเงินทุนราคาถูกหรือขยายการลงทุนโดยปราศจากความชัดเจนด้านกระแสเงินสด

ไม่ว่าจะเป็นโลกของ AI ที่กำลังเดินหน้าด้วยความเร็วสูง หรือโลกของสินเชื่อเอกชนที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ สิ่งที่ผู้ลงทุนควรยึดถือคือความเข้าใจใน “คุณภาพ” มากกว่าการไล่ตาม “การเติบโต” เพราะในวัฏจักรเช่นนี้ ผู้ที่อยู่รอดไม่ใช่ผู้ที่เดินเร็วที่สุด แต่คือผู้ที่วางรากฐานมั่นคงที่สุดต่างหาก

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน