ธปท.เผยเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ฟื้นตัว หลังส่งออก ท่องเที่ยว มาตรการรัฐ ขยายตัว

ธปท.เผย เศรษฐกิจเดือนตุลาคม 2568 ขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้า, รายรับจากการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจเดือนตุลาคม 2568 ขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้า, รายรับจากการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
- มูลค่าการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 12.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยสินค้าหลักที่ขยายตัวคือกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI และ Data Center, อิเล็กทรอนิกส์ (ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์) และเครื่องจักร
- ภาคการท่องเที่ยวขยายตัว โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.6 ล้านคนในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 11% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีนและเกาหลีใต้
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยโครงการอย่าง "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" และ "คนละครึ่งพลัส" ช่วยหนุนการบริโภคและความเชื่อมั่นภาคเอกชน
ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินโดยใช้ข้อมูลของเดือนตุลาคม 2568 โดยภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งการขยายตัวหลักมาจากการส่งออกสินค้า และ รายรับจากการท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม มีเพียงภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ทรงตัว และการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลงจากเดือนก่อน ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับทางแบงก์ชาติได้เคยประเมินไว้
โดยในภาครวมก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ และผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังต้องจับตามองอยู่ ส่วนปัจจัยด้านบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้การส่งออกสินค้ามีการขยายตัวจากเดือนก่อนที่ไม่รวมทองคำ ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.7% ซึ่งหากคิดเป็นYoY มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำขยายตัว 12.8% และหากรวมทองคำขยายตัว 5.3% YoY หลัก ๆ มาจากสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Data Center ที่อุปสงค์มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยหากดูในหมวดของอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากการส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องจักรเพิ่มขึ้นจากหม้อแปลงไฟฟ้า Transformer และเครื่องจักร
อย่างไรก็ดีในเดือนนี้มีการส่งออกมีบางหมวดที่ปรับตัวลดลง โดยหลัก ๆ มาจากการส่งออก หมวดยานยนต์ เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดออสเตรเลียชะลอลง เป็นไปตามอุปสงค์ของการซื้อลดในตลาดออสเตรเลีย
นอกจากนี้ หากการส่งออกไปยังสหรัฐ ผลกระทบทางภาษีในกลุ่มที่โดนภาษี reciprocal tariff ปรับเพิ่มขึ้น 5.8% จากเดือนก่อน โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร Transformer และเกษตรแปรรูป แต่ทว่าสินค้าเกษตรและปิโตรเคมีตลาดสหรัฐมีการปรับลดลง ซึ่งยังคงต้องติดตามความเสี่ยงจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐที่จะมีการส่งออกในระยะต่อไป
ส่วนภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนต.ค.2568 ทรงตัวจากเดือนก่อน ซึ่งการการผลิตของปิโตรเลียมลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามแผน โดยคาดว่าจะกลับมาเปิดได้ที่เดือนธ.ค.2568 อย่างไรก็ตาม การผลิตในส่วนอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ในเดือนนี้มี ในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ตามการส่งออก และในหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามการผลิตน้ำมันปาล์ม และหมวดยานยนต์เพิ่มขึ้นหลังจากที่โรงงานบางส่วนมีการปรับการผลิตในช่วงก่อนหน้าได้กลับมาทยอยผลิตเพิ่มขึ้นแต่ทว่าก็ยังเป็นได้ไม่หมด ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นในส่วนของเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ทั้งนี้ เมื่อไม่รวมกลุ่มปิโตรเคมีที่มีการปิดซ่อมบำรุงไป MPI ก็จะเพิ่มขึ้นเดือนนี้จากเดือนก่อนที่ 1.2%
ส่วนการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ซึ่งในเดือนต.ค.2568 มีนักท่องเที่ยวเข้ามารวม 2.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะจีนและเกาหลีใต้ เนื่องจากมีวันหยุดยาวมากกว่าปกติ ส่งผลให้รายรับในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 1.9% จากเดือนก่อน
สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึง วันที่ 23 พ.ย.2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 29 ล้านราย ซึ่งการเพิ่มขึ้นส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวทำให้ภาคบริการ Serice Production Index หรือ SPI เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.8% MoM โดยปรับดีขึ้นในหมวดธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย โดยภาคบริการในส่วนของขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นตามขนส่งสินค้าและผลผลิตการเกษตรที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน
ขณะที่ด้านการบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวด หลัก ๆ มาจากหมวดภาคบริการเพิ่มขึ้นตามการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย และได้รับผลดีจากโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายก่อนหมดโครงการ อีกหมวดที่ปรับดีขึ้นคือ หมวดสินค้าไม่คงทนปรับดีขึ้นตามการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าคงทนเพิ่มขึ้นตามยอดจำหน่ายรถไฟฟ้าเป็นหลัก ในขณะที่ยอดขายรถกระบะยังซบเซา
ส่วนด้านดัชนีความเชื่อมั่นเอกชนในเดือนนี้หลังปรับฤดูกาลแล้วปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็นเดือนที่ 2 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเที่ยวดีมีคืน มาตรการคนละครึ่งพลัส รวมถึงโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ที่จะมาในปี 2569 แต่ทว่าผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง และปัญหาหนี้สิน
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงจากเดือนก่อน 1.1% โดยหลัก ๆ ปรับตัวลดลงในหมวดของการลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์สำคัญ ซึ่งมาจากการนำเข้าทุนสุทธิที่ชะลอตัวลงในหมวดสำนักงานและคอมพิวเตอร์ แม้ว่ายอดการจำหน่ายเครื่องจักรในประเทศจะยังดีอยู่ ในขณะที่การลงทุนด้านยานพาหนะ และการลงทุนด้านก่อสร้างมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย สอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าของธุรกิจส่วนใหญ่ลดลงจากช่วงก่อนหน้า
ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ ในเดือนนี้ไม่รวมเงินโอนหดตัว 1% YoY จากรายจ่ายประจำของรัฐบาลและรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ แต่ทว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากส่วนของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า โดยรายจ่ายประจำของรัฐบาลกลางจะเห็นว่าระดับการใช้จ่ายยังคงสูงค่อนข้างสูง แต่จากปีก่อนที่ฐานสูงจึงทำให้ YoY ในเดือนนี้ แต่เมื่อเทียบกับค่าปกติในปีงบประมาณปกติจะเห็นการใช้จ่ายยังคงเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเรียนการสอน เงินบำนาญ และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ในขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลางยังขยายตัว 12.8% YoY จากการเบิกจ่ายงบประมาณเหลื่อมปีในภายใต้การกระตุ้นงบเศรษฐกิจ ปี 2568 ส่วน รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจหดตัว 29.2% ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนส่งและคมนาคม แต่ก็ยังสามารถเบิกจ่ายได้ดีกว่าแผน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง
นอกจากนี้ในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจ ซึ่งตลาดแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคบริการซึ่งสะท้อนจากผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ปรับขึ้นจากภาคบริการ ในขณะที่การจ้างงานภาคการผลิตยังคงทรงตัว แต่ถ้าเข้าไปดูกลุ่มภาคของการจ้างงานที่ลดลงอยู่ในกลุ่มที่เผชิญกับสินค้านำเข้ายังคงลดลงอยู่
สำหรับสัดส่วนผู้ขอสิทธิว่างงานผู้ประกันตนโดยรวมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อน ทั้งผู้ขอรับสิทธิว่างงานรายใหม่ และผู้ขอรับสิทธิว่างงานสะสม ซึ่งในจำนวนผู้ขอรับสิทธิว่างงานลดลงจะอยู่ในกลุ่มร้านอาหาร ร้านค้า ก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มผลิตเครื่องดื่มและกลุ่มแข่งขันสินค้านำเข้าจำนวนผู้ขอสิทธิว่างงานก็ยังปรับเพิ่มขึ้น
ด้านเสถียรภาพด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบอยู่ที่ -0.76%YoY ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ทั้งราคาพลังงานและราคาอาหารสด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นบวกที่ 0.61% ใกล้เคียงกับเดือนก่อน โดยราคาในแต่ละหมวดมีทั้งที่เพิ่มขึ้นและลดลงซึ่งเป็นไปตามโปรโมชั่นที่จัดขึ้นสำหรับกลุ่มอาหารโทรสั่ง แต่ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ซักล้างมีการจัดโปรโมชั่นลดลง
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนนี้ขาดดุลการค้าเป็นสำคัญที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯตามการนำเข้าทองคำที่เพิ่มขึ้น จากเดือนก่อนที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง ในขณะดุลบริการรายได้และเงินโอนขาดดุลลดลงจากการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติที่ลดลง โดยรวมดุลการชำระเงินขาดดุลประมาณ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับเงินบาทดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคมอ่อนค่าลง และกลับมาปรับแข็งค่าใน พ.ย.2568 โดยในเดือนต.ค.2568 เฉลี่ยอ่อนค่าลง หลัก ๆ มาจากปัจจัยทางต่างประเทศของเงินดอลลาร์แข็งค่าเป็นสำคัญ มาจาก 2 ปัจจัยที่ตลาดมองว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะไม่ได้ลดลงเร็วเท่าที่คาด และตลาดคลายความกังวลความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากที่มีการเจรจากันได้ แต่ทว่าในเดือนพ.ย.กลับมาแข็งค่า จากเงินทุนไหลเข้าเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะถัดต่อไป เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ทยอยกลับมาผลิต รวมถึงภาคท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป ในส่วนของผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม รวมถึงผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ และผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ







