ความหวังและความเสี่ยงในปีม้าไฟ

ปี 2026 หรือปีม้าไฟ ถูกมองว่าเป็น “ปีทดสอบจุดต่ำสุด” ของเศรษฐกิจโลกและไทย โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวรุนแรงในครึ่งปีแรกก่อนจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การส่งออกที่ชะลอตัว, ความผันผวนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น, การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ยังอ่อนแอ และการหดตัวของสินค้าคงคลัง
KEY
POINTS
- ปี 2026 หรือปีม้าไฟ ถูกมองว่าเป็น “ปีทดสอบจุดต่ำสุด” ของเศรษฐกิจโลกและไทย โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวรุนแรงในครึ่งปีแรกก่อนจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
- เศรษฐกิจไทยเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การส่งออกที่ชะลอตัว, ความผันผวนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น, การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ยังอ่อนแอ และการหดตัวของสินค้าคงคลัง
- นักลงทุนต้องเฝ้าระวัง 5 ความเสี่ยงสำคัญระดับโลก ได้แก่ การเติบโตแบบ K-Shape ในสหรัฐฯ, ฟองสบู่ AI, ความเสี่ยง Private Credit และธนาคารเงา, วิกฤตการคลังสหรัฐฯ และสงครามแร่หายากระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
- ความหวังสำคัญคือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปรับฐานของตลาดอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
- แม้มีความเสี่ยง แต่คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยจะเติบโต 6% โดยตั้งเป้าดัชนี SET สำหรับปี 2026 ไว้ที่ 1,350-1,400 จุด
ปี 2026 หรือปีม้าไฟตามคติโหราศาสตร์จีน มักถูกมองว่าเป็นปีแห่งพลังและการเคลื่อนไหว แต่สำหรับนักลงทุนและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจแล้ว ปีนี้อาจเป็น “ปีทดสอบจุดต่ำสุด” ของเศรษฐกิจโลกและไทยท่ามกลางความหวังและความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากกว่าทุกครั้ง
InnovestX คาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2025 จะเติบโต 2.9% และปี 2026 ที่ 3.0% แม้ตัวเลขโดยรวมจะดูคล้ายกัน แต่เบื้องหลังซ่อนความผันผวนอย่างมาก เศรษฐกิจโลกจะเผชิญการชะลอตัวรุนแรงในครึ่งแรกของปี 2026 ก่อนค่อยฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
สหรัฐฯ จะชะลอลงจากผลกระทบของภาษีศุลกากรและการปิดงานภาครัฐ ยุโรปคาดว่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยด้วยดอกเบี้ย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ยังคงต่ำตลอดทั้งปี ญี่ปุ่นน่าจะเติบโตจากการฟื้นตัวของค่าจ้างและการบริโภค โดย ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้ง ส่วนจีนจะชะลอลงจากปัญหาโครงสร้างทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้สาธารณะที่สูงถึงสามเท่าของ GDP
นโยบายการเงินโลกกำลังแยกทิศทางอย่างชัดเจน Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้และอีกหนึ่งครั้งในปีหน้า จากสี่ปัจจัยหลัก ได้แก่ ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง การปิดงานภาครัฐที่อาจเพิ่มอัตราว่างงาน เงินเฟ้อที่เร่งขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับควบคุมได้ และความนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
การเติบโตไตรมาส 3 ของไทยที่ 1.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ใกล้เคียงกับที่เราประมาณการไว้ที่ 1.0% จากการหดตัวรุนแรงของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การส่งออกสินค้าขยายตัว แต่การส่งออกบริการหดตัว สะท้อนความเสี่ยงด้านการท่องเที่ยว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคงประมาณการไว้ที่ 2.0% ในปีนี้และประมาณ 1.7% ในปีหน้า ขณะที่เราประมาณการต่ำกว่าที่ 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ จากสี่ปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ (1) การส่งออกที่จะชะลอลงต่อ โดยเฉพาะวงจรอิเล็กทรอนิกส์และความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีสูงกรณีสินค้าทรานส์ชิปเมนต์ (2) ความผันผวนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น (3) การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่ยังชะลอต่อเนื่อง และ (4) การหดตัวของสินค้าคงคลังที่มากขึ้น
แม้กระทรวงการคลังจะมีมาตรการกระตุ้นห้าด้าน ได้แก่ โครงการ “คนละครึ่ง Plus” มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว การคืนภาษีแบบเร่งรัด นโยบายปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนและจัดตั้ง AMC และเติมเงินผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มากกว่าคาดยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ในส่วนของความเสี่ยง ปีม้าไฟจะเผชิญความเสี่ยงสำคัญห้าประการที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวัง ประการแรก การเติบโตแบบ K-Shape ในสหรัฐฯ ในขณะที่ในระยะหลัง กลุ่มชนชั้นการระดับบนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐเป็นหลักผ่านการใช้จ่าย แต่หากตลาดหุ้นตกต่ำลง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจผ่าน Wealth Effect ที่ลดลงได้
ประการที่สอง ฟองสบู่ AI จากการจัดหาเงินทุนแบบวงกลมปิด (Circular financing) คล้ายยุค Dot-com อาทิ Nvidia ลงทุนใน OpenAI ที่ซื้อชิปกลับจาก Nvidia และตกลงซื้อพลังประมวลผลจาก Oracle 300,000 ล้านดอลลาร์โดยยังไม่ชัดเจนแหล่งเงินทุน หากตลาดปรับลง 10-20% อาจกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจได้
ประการที่สามคือ ความเสี่ยง Private Credit และธนาคารเงา ที่ธนาคารสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงด้านเครดิตและสภาพคล่องที่มีมากขึ้นจากการเชื่อมโยงซับซ้อนกับสถาบันการเงินนอกระบบที่ขาดความโปร่งใส
ประการที่สี่ วิกฤติการคลัง สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (6.5% ของ GDP) และจ่ายดอกเบี้ย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (20% ของรายได้รัฐบาล) ซึ่งสูงกว่าหลักเกณฑ์ปกติอย่างมาก โดยไตรมาส 2/2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อประธาน Fed Jerome Powell ครบวาระ หากทรัมป์บีบให้ประธาน Fed ท่านใหม่ลดดอกเบี้ยและทำการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง อาจนำไปสู่วิกฤตความเชื่อมั่นในดอลลาร์และ Fed
และประการสุดท้าย ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และสงครามแร่หายาก โดยสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแร่ธาตุสำคัญ 100% ถึง 15 ชนิด ในขณะที่จีนควบคุมการผลิตแร่หายาก 60-80% และครอบงำเทคโนโลยีการแปรรูปมากกว่า 90% การพักรบทางการค้าจึงเป็นเพียงการซื้อเวลาสู่ “สงครามเย็น 2.0” ที่รุนแรงกว่า
ด้วยภาพความเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้เรามองว่าไตรมาสแรกของปี 2026 เป็นช่วง “ทดสอบจุดต่ำสุด” เพื่อดูว่าตลาดจะเกิดจุดต่ำสุดที่แท้จริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับห้าแรงกดดันหลักที่กล่าวมา หากแรงกดดันเหล่านี้คลี่คลาย ตลาดอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การป้องกันความเสี่ยงยังจำเป็น โดยใช้กลยุทธ์ที่รับมือได้ทั้งกับการลดลงของหุ้นและการแข็งค่าของดอลลาร์
แม้มีความเสี่ยง แต่การลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องช่วยป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอย มูลค่าหุ้น AI สูงแต่ยังไม่ถึงระดับฟองสบู่ เรามองว่าการปรับตัวลงเป็นโอกาสในการซื้อ รักษาการลงทุนแต่ปรับกลยุทธ์เป็นการเลือกบริษัทหรือหมวดอุตสาหกรรมเฉพาะ
เราตั้งเป้าดัชนี SET สำหรับปี 2026 ที่ 1,350-1,400 จุด คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 6% รองรับโดยการท่องเที่ยว ICT และอิเล็กทรอนิกส์คอมโพเนนต์ SET อาจเผชิญแรงกดดันในช่วง 2Q-3Q26 โดยมีจุดซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,200 จุด
เราเน้นบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง อัตรากำไรสูง มีความชัดเจนในผลกำไร และมูลค่าที่เหมาะสม การลงทุนในหุ้นเติบโตแบบ defensive ช่วยป้องกันความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคและความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ หุ้นเด่นสำหรับ 1Q26 ได้แก่ BDMS, CENTEL, DIF, PTT และ TRUE
ขอให้ทุกท่านมีความสุขและความสำเร็จในการลงทุนตลอดปีม้าไฟนี้
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher
#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้







