เตือน ‘ไทย’ เดิมเกมเจรจา FTA ช้า หวั่นเวียดนาม-อินเดียแซง

“นักเศรษฐศาสตร์” ชี้เจรจา เอฟทีเอเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน หลังคู่แข่ง “เวียดนาม-อินเดีย” และหลายประเทศ “อาเซียน” เดินหน้าไปไกลกว่า เตือน“ไทยขยับช้า” ยิ่งสูญความสามารถแข่งขัน
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์หวั่น การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยที่ล่าช้า ทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ซึ่งมีความตกลงกับตลาดใหญ่อย่างสหภาพยุโรป (EU) แล้ว
- การไม่มี FTA ในตลาดสำคัญทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบด้านราคาโดยตรง เนื่องจากต้องเผชิญกำแพงภาษีที่สูงกว่าคู่แข่งที่สามารถเข้าถึงตลาดด้วยภาษีที่ต่ำกว่า
- ไทยควรให้ความสำคัญกับการเจรจา FTA กับตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อินเดียและ EU เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้าและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ดร.สันติธาร เสถียรไทย หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อลดพึ่งพาส่งออกไปสหรัฐ เป็นประโยชน์ต่อระบบการค้าโดยรวมอยู่แล้ว
แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมีเอฟทีเอเพียงอย่างเดียว เนื่องจากกว่าการเจรจาจะเสร็จสิ้น และสามารถบังคับใช้ต้องใช้ระยะเวลา อีกทั้งการมี เอฟทีเอแม้ช่วยลดอุปสรรคลง แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าสินค้าของไทยจะเข้าไปในตลาดปลายทางได้อย่างราบรื่นเสมอไป เพราะหลายครั้งไทยไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด หรือ Market Intelligence ที่เพียงพอ ทำให้การเจาะตลาดใหม่มีอุปสรรคมากกว่าที่เห็นจากภายนอก
แม้ดูเหมือนว่าการทำ เอฟทีเอ จะทำให้ตลาดเปิดกว้าง แต่ในความเป็นจริงภายในตลาดเหล่านั้น มีกฎระเบียบเฉพาะทั้งข้อกำหนดสเปกสินค้า มาตรฐานบังคับ หรือกฎเกณฑ์ความปลอดภัยและคุณภาพ ผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดได้ยาก เอฟทีเอเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง
แต่ความสำคัญจริงๆ คือ ความเข้าใจเชิงลึกในตลาดปลายทาง ซึ่งไทยมีจุดที่ต้องพัฒนาอีกมาก
หากไทยต้องการใช้โอกาสจาก เอฟทีเอให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งที่จำเป็น คือ พัฒนา Market Intelligence หรือ Export Intelligence ที่เป็นข้อมูลเจาะลึกตลาด ช่วยชี้ให้เห็นว่าสินค้าประเภทใดของไทยตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคในประเทศปลายทางได้จริง เช่น อินเดียถูกยกเป็นกรณีศึกษา อินเดียแต่ละมลรัฐมีกลุ่มผู้บริโภค นิสัยการซื้อสินค้า และความต้องการต่างกัน ไทยต้องมีข้อมูลแต่ละพื้นที่ต้องการสินค้าแบบใด สินค้าของไทยมีจุดแข็งตรงไหนที่ตอบรับได้
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการรู้ว่าประเทศปลายทาง มีมุมมองต่อสินค้าหรือแบรนด์ไทยอย่างไร ส่วนบางตลาดอาจยังไม่รู้จักไทย หรือมีอุปสรรคทางวัฒนธรรมที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม ข้อมูลวิจัยตลาดเหล่านี้ควรถูกแชร์ระหว่างผู้ประกอบการ เพื่อช่วยกันลดต้นทุนการเรียนรู้ และเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาดใหม่
- เร่งไทยเจรจาเอฟทีเอ“อินเดีย-อาเซียน”
ประเทศสำคัญสำหรับการเจรจา เอฟทีเอไทยควรเน้น คือ ตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุด คือ อินเดีย และอาเซียนด้วยกันเองเพราะทั้งสองภูมิภาคจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก นี่คือโอกาสสำคัญของไทยที่จะเชื่อมโยงกับตลาดที่มีพลังการเติบโตมหาศาล
ทั้งมองว่าการที่ไทยมีเครื่องมือ เอฟทีเอที่หลากหลายจะช่วยลดเสี่ยงได้ มีผลสองด้าน ด้านแรก คือ สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้โดยตรงมากขึ้น ลดอุปสรรคภาษีและอุปสรรคการค้า
อีกด้านหนึ่งคือ เอฟทีเอทำให้ไทยมีความน่าสนใจด้านการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น นักลงทุนอาจเลือกเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทยเพื่อใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการค้าส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตและปรับตัวสู่โครงสร้างใหม่ที่แข็งแรงขึ้น
- มองเอฟทีเอบวกต่อไทยลดพึ่งพาสหรัฐ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่า รัฐบาลเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอกับหลายประเทศเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
เช่น ประเทศเวียดนาม ที่มีเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป (EU) และประเทศอื่นๆ หลายแห่ง การที่เวียดนามมีความตกลงการค้าเหล่านี้ ทำให้สามารถส่งออกไปยังตลาดยุโรปด้วยภาษีที่ต่ำกว่าไทย ซึ่งทำให้ไทยเสียความสามารถแข่งขัน
กลับกันหากไทยยังไม่สามารถทำเอฟทีเอกับประเทศสำคัญได้ ไทยจะเสียเปรียบเรื่อยๆ ในตลาดโลก ยิ่งเมื่อคู่แข่งเข้าถึงตลาดด้วยภาษีที่ถูกกว่า ผู้ส่งออกไทยย่อมเสียความได้เปรียบด้านราคาโดยตรง
“การเจรจาเอฟทีเอ ไม่ใช่กระบวนการที่ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่ต้องพิจารณารอบด้าน หลายครั้งจำเป็นต้องยื่นหมูยื่นแมวหรือเปิดตลาดบางส่วนเพื่อแลกการเข้าถึงตลาดปลายทาง คำถามสำคัญคือ ไทยจะได้อะไรและเสียอะไรในดีลการค้าแต่ละฉบับ ซึ่งเป็นแกนกลางการพิจารณาและตัดสินใจเจรจา”
ทั้งนี้ มองว่าตลาดใหญ่สุดที่ไทยยังไม่มีเอฟทีเอ คือ อียู เวียดนามมีเอฟทีเอกับอียูแล้ว และได้ประโยชน์มาก ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในขั้นตอนเจรจากับอียู ส่วนสหรัฐแม้ใช้ชื่อข้อตกลงต่างกัน ก็ถือเป็นประเภทหนึ่งของเอฟทีเอ และเป็นอีกตลาดที่ไทยควรผลักดัน บางตลาด
เช่น ญี่ปุ่น ไทยยังมีช่องว่างเติมเต็ม เช่น เข้าร่วมข้อตกลงบางชุดที่ไทยยังไม่ได้เป็นสมาชิก
อย่างไรก็ตาม ต้องตั้งคำถามด้วยว่า หากไทยต้องเปิดตลาดบางส่วน เพื่อแลกกับการค้า ไทยต้องเปิดในสินค้าใดหรือภาคส่วนใด และภาคอุตสาหกรรมเหล่านั้นพร้อมรับการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศหรือไม่ เพราะการทำ FTA มีทั้งภาคที่ได้ประโยชน์และภาคที่ได้รับผลกระทบ รัฐต้องบริหารจัดการให้รอบคอบ







