บลจ.กรุงศรี ชู 3 กลยุทธ์ปักธง AUM ปีหน้าโต16%แตะ8แสนล้าน

บลจ.กรุงศรี ชู 3 กลยุทธ์ปักธง AUM  ปีหน้าโต16%แตะ8แสนล้าน

“บลจ.กรุงศรี” ชู 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโตดัน “เอยูเอ็ม” ปี 69 เพิ่มขึ้น 16% แตะ 804,000 ล้านบาท ประเมิน “หุ้นไทย” ปีหน้า 1,430 จุด จาก 1,320 จุด ในสิ้นปีนี้

KEY

POINTS

  • บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2569 ให้เติบโต 16% แตะระดับ 804,000 ล้านบาท
  • ชู 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์, การเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่าย และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้นักลงทุน
  • การเติบโตหลักมาจากธุรกิจกองทุนรวมที่ตั้งเป้าโต 18% ตามด้วยกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า สำหรับแผนธุรกิจปี 2569 วางเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ (AUM) ที่ 804,000 ล้านบาท เติบโต 16% แบ่งเป็น กองทุนรวม 618,000 ล้านบาท เติบโต 18% , กองทุนส่วนบุคคล 124,000 ล้านบาท เติบโต14% , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 62,000 ล้านบาท เติบโต 6%

ขณะที่ ปีนี้คาดมี AUM อยู่ที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปีและสูงกว่าอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และมีการเติบโตโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปีสูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ กองทุนรวมของบลจ.กรุงศรีมีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ เดือน ก.ย.2568)

สำหรับ แผนธุรกิจปี 2569 วาง 3 กลยุทธ์หลัก 1. ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และเหมาะกับสภาวะการลงทุน ได้แก่ เพิ่มความหลากหลายในกองทุนรวมสกุลเงินตราต่างประเทศ, เสริมกองทุนที่เหมาะกับการลงทุนในปี 2569 สำหรับนักลงทุนรายย่อย และคัดสรรกองทุนพิเศษสำหรับนักลงทุนรายใหญ่

2.ช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ทั้งเสริมศักยภาพการเติบโตร่วมกับตัวแทนสนับสนุนการขาย ตอบสนองทุกความต้องการ เพื่อให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายด้วยช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า

3.มุ่งสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการอัพเกรดระบบแชทบอท ให้การติดต่อกับลูกค้าสะดวกและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานบน KSAM @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง

นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า มุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2569 ปีนี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่ปรับตัวดี และภาคกาคการผลิตที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก คาดจีดีพีเติบโต2%แต่ในปีหน้าภาพรวมเศรษฐกิจไทยพื้นตัวช้า และขาดแรงขับเคลื่อนใหม่ คาดหุ้นไทยปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้งคงไม่ได้มีผลมาก ทำให้แรงซื้อกลับอาจยังไม่มาก แต่แรงขายหายไปมากแล้ว

ขณะที่ปัจจัยหนุนหุ้นไทยปี 2569 ยังคงน่าสนใจจากระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบภูมิภาค และอัตราเงินปัน มากกว่า 4%ต่อปี เฉลี่ย 6-8% ผลประกอบการของบจ. ในไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ผลประกอบการเด่น เงินจ่ายปันผลเฉลี่ย7-8% และแม้ปีหน้าอาจลดดอกเบี้ย ทำให้ NIM ลงเป็นไปได้ แต่ไม่กระทบเงินปันผล 

ส่วนปัจจัยต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความล่าช้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจโนโลยี และระดับหนี้ภาคเอกชนเริ่มชะลอตัว แต่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดยังต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ รวมถึงเงินกองทุนลดหย่อยภาษี อาจไม่มีผลนัก จากนโยบายการคลังระยะข้างหน้าเน้นเพิ่มรายได้รัฐ

โดยมองกรอบคาดดัชนีหุ้นไทย สิ้นปีนี้ ที่ระดับ 1,320 จุด และ 1,430 จุดในปีหน้า ขณะที่ดาวน์ไซด์จำกัดในปีนี้และปีหน้า ตลาดซึมๆ และวอลุ่มน้อย ประเมินค่าความผันผวน 15% ปรับลดจากเดิม 20% รวมถึง P/E ยังทรงตัว 15 เท่า ในปีนี้และปีหน้า และปีนี้ EPS ที่ 89 บาทต่อหุ้น และEPS ปีหน้าโต 6-7% ยังคงไปไม่ถึง 100 บาทต่อหุ้น

ส่วนทางด้านความคาดหวังผลตอบแทนในหุ้นไทย ปรับลดลงจาก 12% เหลือ 8% มาจากศักยภาพทำกำไร บจ. ปรับตัวลดลง ทำให้ความคาดหวังผลตอบแทนในหุ้นไทยลดลงด้วย

นอกจากนี้ การจัดพอร์ตปี 2569 บลจ.กรุงศรี แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงที่สุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต

ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ในระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว