บลจ.แอสเซท พลัส จับจังหวะ หุ้นเหมืองทอง-โลหะเงิน เด่น ส่ง 2 กองทุน เพิ่มโอกาสผลตอบแทนสูง

บลจ.แอสเซท พลัส จับจังหวะ ส่ง 2 กองทุน เด่น คือ หุ้นเหมืองทอง-โลหะเงิน ในขณะที่ตลาดโลหะมีค่ากำลังกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ทำให้ ทองคำ และ เงิน ต่างได้รับแรงหนุนจากทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกระแสอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ตลาดโลหะมีค่ากำลังกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดย ทองคำ และ เงิน ต่างได้รับแรงหนุนจากทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกระแสอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ราคาเงินเร่งตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์ทั้งสองประเภท
โดยทองคำยังคงครองตำแหน่งหนึ่งในสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในวัฏจักรการลงทุนปัจจุบัน ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยมหภาคหลากหลายด้าน ทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ระดับหนี้ที่สูงทั่วโลก และการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อยู่ในวงจรลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ หุ้นเหมืองทองคำกำลังถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็น "ผู้นำวัฏจักร" ในรอบถัดไป สะท้อนจากกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุนประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ และบรรยากาศความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ยิ่งกระตุ้นความต้องการถือสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความมั่นคงสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2022 แต่เมื่อเทียบกับรอบขาขึ้นในอดีตที่เคยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 343% ภายในกว่า 1,000 วัน รอบปัจจุบันยังนับว่าอยู่เพียงช่วงต้น และยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก
ทั้งนี้ จากประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ารอบขาขึ้นรอบใหญ่ของทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้รุนแรง เช่น ระหว่างสิงหาคม 1976 ถึงมกราคม 1980 พุ่งขึ้น 721% ภายใน 856 วัน และช่วงมกราคม 2007 ถึงกันยายน 2011 เพิ่มขึ้น 167% ภายใน 763 วัน และเมื่อราคาทองคำเข้าสู่ขาขึ้น หุ้นเหมืองทองคำมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าราคาทองคำแท่งอย่างมีนัยสำคัญในช่วงตลาดกระทิง โดยปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2 เท่าของการปรับขึ้นของราคาทองคำ
ในขณะที่รอบขาขึ้นปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2023 ถึงปัจจุบัน หุ้นเหมืองทองคำ ปรับขึ้น 214.8% เทียบกับทองคำที่ขึ้น 142.5% (1.5 เท่า) ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 68
ปัจจุบันยังพบ "ช่องว่างราคา" ระหว่าง ทองคำ และ หุ้นเหมืองทองคำ ซึ่งสะท้อนโอกาสที่ราคาหุ้นอาจเร่งตัวขึ้นเพื่อไล่ตาม
บริษัทเหมืองทองคำในยุคปัจจุบันมีวินัยทางการเงินมากขึ้นอย่างชัดเจน หนี้สินลดลง ในขณะที่กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น หลังปี 2015 บริษัทในกลุ่มนี้ปรับแนวทางจาก "เติบโตไม่ว่าด้วยต้นทุนใด" เป็น "เน้นคุณค่าและกระแสเงินสด"
ส่งผลให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดอิสระสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราส่วน Total Debt to EV อยู่ที่เพียง 0.13x ถือว่าต่ำมาก ในด้าน Valuation ดัชนี NYSE Arca Gold Miners ยังซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปี ขณะที่ยังมีข้อดีด้านการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากหุ้นเหมืองทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ต่ำกับหุ้นสหรัฐฯ ตราสารหนี้ และอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังให้เงินปันผลสูงกว่า S&P 500
ขณะที่ ตลาดโลหะเงิน มีสัญญาณเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งจากฝั่งอุปสงค์ของนักลงทุนและความต้องการภาคอุตสาหกรรมที่ทรงพลัง หลังจาก กองทุน ETF ที่ลงทุนในเงินฟื้นตัวถือครองโลหะเงินกลับมาเหนือระดับ 1,000 ล้านออนซ์ในปี 2025 ส่งสัญญาณกระแสเงินทุนไหลเข้าแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ เงินยังคงเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติการนำไฟฟ้าดีที่สุด ทำให้เป็นวัสดุสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยดีมานด์เชิงอุตสาหกรรมคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจาก 3 เทรนด์หลัก
- พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) โดยจีนเร่งการติดตั้ง Solar PV อย่างต่อเนื่อง ทำให้ดีมานด์เงินจากภาคพลังงานแสงอาทิตย์คาดแตะจุดสูงสุดในปี 2025 ส่งผลให้การติดตั้งทั่วโลกจ่อทะลุ 1,000 GW ในปี 2025 และเพิ่มต่อเนื่องสู่ประมาณ 1,400 GW ในปี 2026
- อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกคาดเติบโตสู่ 700 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพิ่มขึ้น 11% จาก 630 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 และประมาณ 760 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 เพิ่มขึ้น 8%
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ความต้องการเงินจากภาคยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มตามการขยายกำลังผลิตแบตเตอรี่ จาก 1.2 TWh ในปี 2024 สู่ 1.8 TWh ในปี 2025 และ 2.1 TWh ในปี 2026
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) มองเห็นโอกาสในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีทั้งทองคำและโลหะเงิน จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเอแทรคเกอร์ส โกลด์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-RING) และกองทุนเปิด เอแทรคเอร์ส ซิลเวอร์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-SLVP)
โดย กองทุนเปิดเอแทรคเกอร์ส โกลด์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-RING) มีนโยบายลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำทั่วโลกผ่านกองทุน iShares MSCI Global Gold Miners ETF (RING) ของ BlackRock ซึ่งมีสินทรัพย์สุทธิกว่า 2.42 พันล้านดอลลาร์ (ณ ตุลาคม 2025) และลงทุนในบริษัทเหมืองทองคำ 41 แห่งทั่วโลก
กองทุนมีการกระจายพอร์ตใน แคนาดา 56.2%, สหรัฐฯ 17.9%, แอฟริกาใต้ 12.1%, จีน 5.8% และออสเตรเลีย 4.7% โดย Top 10 Holdings รวมกว่า 67% ของพอร์ต ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ เช่น Newmont, Agnico Eagle, Barrick และ Wheaton Precious Metals
ส่วนกองทุนเปิด เอแทรคเอร์ส ซิลเวอร์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-SLVP) เน้นลงทุนในตลาดเหมืองเงินแบบกระจายความเสี่ยง ผ่านกองทุน iShares MSCI Global Silver and Metals Miners ETF (SLVP) เป็นทางเลือกหนึ่ง
โดยกองทุนเป็น ETF แบบ Passive ที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นเหมืองเงินทั่วโลก โดยอ้างอิงดัชนี MSCI ACWI Select Silver Miners Investable Market Index ก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2012 มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 570.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับพอร์ตตามรอบทุกไตรมาส
ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กองทุนถือครองหุ้นรวม 29 หลักทรัพย์ โดยมี Beta เทียบ S&P500 ที่ 0.74 สะท้อนความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3 ปีอยู่ที่ 40.19% แสดงถึงความผันผวนภายในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เอง ด้านมูลค่าพื้นฐาน กองทุนมี P/E 53.15 เท่า และ P/B 3.70 เท่า
ขณะที่ โครงสร้างการลงทุน ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 พอร์ตของ SLVP มีการกระจุกตัวสูงมากในธุรกิจ "เงิน" โดยภาคส่วน Silver คิดเป็นถึง 99.90% และเงินสด/อื่นๆ เพียง 0.10% โดยกองทุนมุ่งลงทุนในเหมืองแร่โซ่อุปทานอเมริกาเหนือเป็นหลัก ได้แก่ แคนนาดา 48.42% สหรัฐฯ 20.40% เม็กซิโก 14.25% ประเทศอื่นๆ ได้แก่ สหราชอาณาจักร,เปรู, แอฟริกาใต้ และจีนในสัดส่วนรองลงมา
หมายเหตุ: ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นเครื่องยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุน "โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน"
กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำและเงิน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก











