สินเชื่อแบงก์ส่อวิกฤติ ธปท.ชี้ติดลบ 5 ไตรมาสติด ‘หนี้เสีย-เอสเอ็มอี‘พุ่ง

“แบงก์ชาติ” เผยการหดตัวของ “สินเชื่อธนาคาร” ลากยาว 5 ไตรมาสติด ผนวก “เอ็นพีแอล” เพิ่มขึ้นทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “กลุ่มเอสเอ็มอี” สะท้อน “เศรษฐกิจ” ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และความเปราะบางของ “ลูกหนี้” ยังอยู่ในระดับสูง
KEY
POINTS
- แบงก์ชาติชี้ สินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอ
- คุณภาพสินเชื่อโดยรวมแย่ลง หนี้เสียเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสินเชื่อเกือบทุกประเภท
- กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงที่สุด
รวมถึงความต้องการสินเชื่ออ่อนแรงลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ การขยายตัวของสินเชื่อทั้งระบบหดตัวอยู่ในแดนลบยาวนานถึง 5 ไตรมาสติดต่อกัน และที่ต้องจับตาสำคัญคือสัญญาณการติดลบสินเชื่ออาจลากยาวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ หรืออาจต่อเนื่องไปถึงปีหน้าหรือไม่
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ระบบสินเชื่อรวมของ “ธนาคารพาณิชย์และบริษัทในเครือ” ยังคง หดตัวที่ -1% เป็นภาพของสินเชื่อที่ติดลบยาวนานติดต่อกัน 5 ไตรมาส และทั้งปีอาจเห็นสินเชื่อติดลบต่อเนื่องได้ หากเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัว
สำหรับการหดตัวของสินเชื่อเป็นตัวเลขที่สะท้อนการหดตัวต่อเนื่องมายาวนาน แม้จะไม่ลึกเท่าช่วงวิกฤติ Global Financial Crisis ปี 2552 ที่สินเชื่อเคยหดตัวถึง -3% แต่เป็นการหดตัวยาวและต่อเนื่อง ทำให้ต้องประเมินผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและครัวเรือนอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ หากย้อนไปดูภาพรวมสินเชื่อที่ติดลบหนัก เช่นวิกฤติต้มยำกุ้ง สินเชื่อทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ หดตัว -12.1% ในปี 2541 และหดตัวต่อเนื่องถึงปี 44 และช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส ในไตรมาส 3 ปี 2552 ติดลบ 3.2% และไตรมาส 3 ติดลบ 1.7% และช่วงโควิดสินเชื่อทั้งระบบกลับมาขยายตัว 5.2% ในปี 2563 โดยขยายตัวต่อเนื่องในปี 2564 ที่6.6% และ ปี 2565 ที่ 2.8% จากผลของมาตรการช่วยเหลือ โดยหลังโควิด-19 สินเชื่อเริ่มหดตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 ที่-2.1% ต่อเนื่อง 5 ไตรมาส
- หดตัวในทุกเกือบหมวดสินเชื่อ
โดยหากดูไส้ในสินเชื่อที่หดตัวในไตรมาส 3 ที่ -1.% นั้น เป็นการหดตัวในทุกเกือบหมวดสินเชื่อ โดยสินเชื่อธุรกิจลดลงเพิ่มขึ้น จาก -0.3% มาเป็น -0.6% และสินเชื่ออุปโภคบริโภค ยังเป็นการหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ -1.7% จาก -2.1% หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
รวมทั้งหากแยกดูสินเชื่อรายธุรกิจ พบว่าธุรกิจเอสเอ็มอีน่าห่วงที่สุด โดยสินเชื่อหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ -4.0% จาก -3.3% ขณะที่โครงสร้างการแข่งขันระยะยาวยังอ่อนแอ และภาวะตลาดสินเชื่อกลุ่มนี้มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง นำไปสู่การระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าเดิม
ขณะที่ สินเชื่อขนาดใหญ่ ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% จาก 0.5% แต่ยังอยู่ในระดับต่ำและเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการสินเชื่อที่ลดลง เพราะบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งชำระหนี้คืนมากขึ้น ขณะที่การลงทุนใหม่ยังไม่กลับมาชัดเจน
ภาพการหดตัวของสินเชื่อเหล่านี้สอดคล้องกับตัวเลขการระดมทุนโดยรวม ทั้งในรูปแบบสินเชื่อและตราสารหนี้ก็ยังหดตัวเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงระมัดระวังต่อความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่ม High Yield ที่ยังถูกจับตาเป็นพิเศษ
สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคฟื้นเล็กน้อย โดยปรับจาก -2.1% มาอยู่ที่ -1.7% แม้จะดูดีขึ้น แต่หลายกลุ่มยังสะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนตัว เช่น สินเชื่อบ้าน หดตัวน้อยลงจาก -0.4% มาเกือบทรงตัวที่ -0.1% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการ LTV ผ่อนคลาย การลดค่าธรรมเนียมโอน และทิศทางดอกเบี้ยขาลง
“วันนี้ยังตอบไม่ได้ว่าสินเชื่อจะติดลบต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก แม้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัสแต่ต้องติดตามว่าการส่งผ่านผลกระทบทางบวกจะช่วยฟื้นกำลังซื้อได้จริงหรือไม่ แต่ทั้งปีจนถึงปัจจุบันสินเชื่อ ติดลบ -1% ดังนั้นก็มีโอกาสเห็นสินเชื่อติดลบได้ทั้งปี หากเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นตามคาด”
นายสมชาย กล่าว
ชี้หนี้เสียพุ่งทุกกลุ่มสินเชื่อ
สำหรับด้านคุณภาพสินเชื่อหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล ในไตรมาสนี้หนี้เสียเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% จาก 2.89% แม้จะเพิ่มขึ้น แต่มาจากฐานสินเชื่อลดทำให้สัดส่วน NPL ขยับขึ้น
ส่วนหนี้เสียโดยรวมพบว่ายังอยู่ในระดับสูง และเพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวดสินเชื่อ โดยหากดูสินเชื่อธุรกิจ หนี้เสียยังคงเพิ่มขึ้นโดยมาอยู่ที่ 2.78% จาก 2.71% และสินเชื่ออุปโภคบริโภค 3.28% จาก 3.29%
“ภาพหนี้เสียยังทรงตัว เพราะเราเห็นหนี้เสียใหม่ที่ไหลเข้ามาเริ่มลดลง ทำให้ยอดหนี้เสียใหม่ไม่ได้เร่งตัวมากนัก โดยหนี้เสียใหม่ที่เข้ามาอยู่ที่ 99,000 ล้านบาท จากค่าเฉลี่ยก่อนหน้า 110,000 ล้านบาท และยังเห็นธนาคารยังบริหารจัดการ NPL ได้ค่อนข้างดี โดยกำจัดหนี้เสียได้ราว 100,000 ล้านบาทต่อไตรมาส”
อย่างไรก็ตามหนี้เสียที่น่าห่วงที่สุดคือ กลุ่มเอสเอ็มอี ที่หนี้เสียเพิ่มต่อเนื่อง จาก 8.92% เป็น 9.13% ขณะที่ NPL รายใหญ่ทรงตัวที่ 1.34% สะท้อนบริษัทใหญ่ยังคงประคองตัวได้
ทั้งนี้มองว่าปัจจุบันเอสเอ็มอียังคงเผชิญโจทย์ใหญ่ และต้องแก้โครงสร้างควบคู่การเงินทั้งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของ SME และมาตรการทางการเงินรองรับความเสี่ยง เช่น กลไก บสย. หรือกองทุนดูแลความเสี่ยง
- Virtual Bank หนุนระบบนิเวศสินเชื่อ
รวมทั้งปรับโครงสร้างระบบนิเวศสินเชื่อระยะยาว หรือการเข้ามาของ Virtual Bank ไตรมาส 2 ปี 2569 ที่คาดว่าจะช่วยกลุ่ม unserved/underserved และทำให้กลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับโครงการ Data Sharing ทำให้ประเมินความเสี่ยงลูกหนี้ได้แม่นขึ้นและเป็นธรรมขึ้น
สำหรับหนี้เสียในกลุ่มอุปโภคบริโภคแม้บางกลุ่มดีขึ้น แต่ความเสี่ยงยังสูง โดยหนี้เสียครัวเรือนคงที่ ที่ 3.28% และหากดูไส้ใน พบว่าสินเชื่อบ้านหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 3.86% เป็น 3.83% และเช่าซื้อรถลดจาก 2.22% เป็น 2.17% ที่ได้มาตรการช่วยเหลือจากคุณสู้เราช่วย
ซึ่งต่างกับกลุ่มบัตรเครดิต ส่วนบุคคลทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือก่อนหน้า
“คุณสู้เราช่วย” หนุนคุณภาพหนี้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามมองว่า มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”ที่ผ่านมา มีส่วนช่วยให้คุณภาพสินเชื่อหลายกลุ่มดีขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและเช่าซื้อ เพราะลูกหนี้ได้รับเงินคงเหลือกลับมาผ่อนจ่ายมากขึ้น
ทั้งนี้ พบว่า โครงการนี้สามารถช่วยเหลือคนได้ถึง 9.4 แสนราย วงเงิน 6.2 แสนล้านบาท ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการยึดรถยึดบ้านได้ โดยโครงการนี้ช่วยให้ลดการถูกยึดรถ 3.1 แสนราย บ้านอีก 2.5 แสนหลัง ช่วยไม่ให้เอสเอ็มอีปิดกิจการอีก 1.7 แสนธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หวังว่าจากปัญหาหนี้เสียในระบบในปัจจุบัน เมื่อมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น เช่นมาตรการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้”เพื่อช่วยรายย่อยที่มีหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท ที่ปัจจุบันกลุ่มนี้เป็นสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่เป็นปัญหาเยอะที่สุดในระบบ และกลุ่มนี้ยังคิดเป็น 60% ของ NPL ทั้งหมด
ดังนั้นหวังว่ามาตรการนี้จะมีส่วนช่วยทำให้หนี้เสียในระบบปรับตัวดีขึ้นได้บ้างในระยะข้างหน้า
สำหรับหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจต่อ GDP ลดลง แต่ภาพรวมยังต้องระวัง โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาอยู่ที่ 86.6%หนี้ธุรกิจต่อ GDP ลดลงจากการก่อหนี้ที่ชะลอลง แม้ตัวเลขลดลง แต่เป็นผลจากการหนี้ชะลอมากกว่าการรายได้เพิ่ม จึงยังต้องติดตามความเปราะบางของผู้กู้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามมองว่า ดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นเพียงการช่วยบรรเทาต้นทุน แต่การฟื้นตัวของสินเชื่อยังขึ้นกับเศรษฐกิจ โดยการลดดอกเบี้ยนโยบาย 4 ครั้งใน 2 ปี ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน โดยธนาคารได้ส่งผ่านดอกเบี้ยลงมาเกินครึ่ง ซึ่งเห็นผลชัดเจนในสินเชื่อบ้าน แต่การฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อยังต้องพึ่งเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเป็นหลัก







