ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18 พ.ย.68 ‘อ่อนค่า‘ กังวลแนวโน้มเฟดลดดบ.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18 พ.ย.68 ‘อ่อนค่า‘   กังวลแนวโน้มเฟดลดดบ.

ค่าเงินบาทวันนี้ 18 พ.ย. 68 เปิดตลาด“อ่อนค่า“ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้กังวลแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ย มองกรอบเงินบาทวันนี้ 32.35- 32.55 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • เงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 18 พ.ย. อ่อนค่าลงเล็กน้อยที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์
  • ปัจจัยหลักมาจากความกังวลของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
  • นักลงทุนกำลังจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม เพื่อประเมินทิศทางนโยบายของเฟด
  • กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.41 - 32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีความพยายามอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวลดลงบ้างของ ราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจมีการชะลอการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา หลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18 พ.ย.68 ‘อ่อนค่า‘   กังวลแนวโน้มเฟดลดดบ.

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดโดยเฉพาะในฝั่งสถานะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากทั้งประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น ภายใต้นายกฯ Sanae Takaichi สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวญี่ปุ่น และประเด็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนล่าสุด ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกชะลอลงบ้างแถวโซนแนวต้าน หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว หรือปรับลดสถานะถือครอง อย่างสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง 

แนวโน้มค่าเงินบาท

แนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ที่จะรับรู้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ รวมถึง รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่จะรับรู้ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ในช่วง After Market ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังในช่วงที่ผ่านมา บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ทั่วโลกได้ทยอยปรับตัวลดลง จนทำให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากประเมินเชิงเทคนิคัล ดัชนี S&P500 และดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็ย่อตัวลง เข้าสู่โซนที่เสี่ยงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังหลุดโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อีกครั้ง อาทิ Nvidia -1.9% ซึ่งอาจเป็นการปรับลดสถานะถือครองลงบ้าง ก่อนรับรู้ผลประกอบการของ Nvidia ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Alphabet +3.1% จากรายงานการเข้าซื้อหุ้น Alphabet โดย Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.92% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.84% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อ -0.54% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ ประเด็นรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นล่าสุด ยังได้กดดันบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมที่มียอดขายในจีนพอสมควร อาทิ Kering -2.2%, LVMH -2.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Utilities และกลุ่ม Healthcare 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 4.14% โดยแม้จะเผชิญแรงกดดันบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในส่วนของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งล่าสุดได้อ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของญี่ปุ่นและปัญหารอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.3-99.6 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงสู่โซน 4,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานยอดการจ้างงานรายสัปดาห์ โดย ADP  

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนตุลาคม ในช่วง 06.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน 

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง