‘เฟทโก้’ ชงเปลี่ยนเกม ‘ตลาดทุน’ จากปริมาณสู่ ’คุณภาพ‘ เร่งปรับเกณฑ์ดึง ‘บจ.เทคฯ’ ชุบชีวิตหุ้นไทย

‘เฟทโก้’ชงเปลี่ยนเกม‘ตลาดทุน’ จากปริมาณสู่ ‘คุณภาพ’ เร่งปรับเกณฑ์ดึง ‘บจ.เทคฯ’ ชุบชีวิตหุ้นไทย เปิดแผนปฏิรูป “4เดือนเห็นผล” เอื้อเพิ่มนักลงทุนระยะยาว-เปิดทางสินทรัพย์ดิจิทัลรับโลกยุคใหม่
KEY
POINTS
- เฟทโก้ เสนอให้ตลาดทุนเปลี่ยนจุด เน้นจากการเพิ่ม “ปริมาณ” บริษัทที่เข้าจดทะเบียน ไปสู่การคัดเลือก “คุณภาพ”
- เน้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve
- เร่งปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียน โดยเฉพาะการลดเงื่อนไข “กำไรต่อเนื่อง 3 ปี” เพื่อเปิดทางให้บริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถเข้าสู่ตลาดทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- ปฏิรูปตลาดในมิติอื่นควบคู่กันไป หนุนส่งเสริมนักลงทุนสถาบันระยะยาว เปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสและแรงดึงดูดใหม่ๆ ให้กับตลาดหุ้นไทย
สะท้อนภาพ “นักลงทุนต่างชาติ” ยังคงเดินหน้าเทขายหุ้นไทยต่อเนื่องระดับ -106,980.35 ล้านบาท (ตัวเลข ณ วันที่ 13 พ.ย.2568) ขณะที่ ดัชนี SET INDEX ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 13 พ.ย. “ติดลบ 8.05%”
ดังนั้น “เฟทโก้” (FETCO) หรือ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จึงลุกขึ้นมาขับเคลื่อน “การปฏิรูปตลาดทุนครั้งใหญ่” เพื่อวางรากฐานใหม่ให้กับระบบนิเวศทางการเงินของประเทศไทยให้แข็งแรงและทันสมัยมากขึ้น...
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธาน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่า ตลาดทุนไทยต้อง “เปลี่ยนเกม” จากการมุ่งเน้นปริมาณไปสู่คุณภาพ และต้องเร่งสร้าง “แรงดึงดูดใหม่” ให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ทั้งการดึง “บริษัท เทคโนโลยี” และ “อุตสาหกรรมอนาคต” หนุนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนไทย การลดอุปสรรคด้านเกณฑ์ “กำไร” เพื่อให้บริษัทคุณภาพสามารถเข้าตลาดได้เร็วขึ้น หรือการเปิดโอกาสให้สินทรัพย์การลงทุนใหม่ ๆ เช่น ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาสู่ตลาดทุน เพื่อสร้าง “โอกาส” ให้ทั้งกับตลาดทุนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
โดยมองว่า ปัญหาหนึ่งของตลาดทุนไทยคือ อุปทานที่ยังไม่ตอบโจทย์ มีบริษัทเข้าตลาดจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและกลาง ซึ่งไม่ใช่บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม S-Curve ทำให้ “มูลค่าของหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ Market Cap ของตลาดไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ปัญหาหลักมาจาก หลักเกณฑ์เดิมที่กำหนดให้บริษัทที่ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีกำไรต่อเนื่อง 3 ปี ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปสำหรับบริษัทใหม่ๆ ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องสร้างโรงงานและเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งหากนับตั้งแต่บริษัทเริ่มสร้างโรงงานจนกระทั่งมีกำไรต่อเนื่อง 3 ปี อาจต้องใช้เวลารวมอย่างน้อย 7 ปีกว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
เช่น บริษัท ฉางอัน (Changan) อาจต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ถึง 10 ปี กว่าจะสามารถเข้าตลาดได้ตามเกณฑ์เดิม หรืออย่างกรณีของ BYD ที่เริ่มโครงการในปี 2565 และเริ่มผลิตในปี 2567 หากเริ่มมีกำไรในปี 2567 นี้ ตามกรอบเวลาเดิมที่รวมการสร้างโรงงานและต้องมีกำไรต่อเนื่อง 3 ปี จะใช้เวลาประมาณ 7 ปี
“ที่ผ่านมามีหลายบริษัทสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่น Changan ที่เขาเข้ามาคุยกับรัฐบาลไทย ในการอยากเข้ามาตลาดทุนไทยด้วย ดังนั้นเอง เราต้องทำให้การเข้าลงทุนเอื้อต่อธุรกิจรายใหม่ๆ เหล่านี้มากขึ้น เช่น เดียวกับ BYD ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย และเริ่มส่งออกแล้ว ซึ่งหากแผนต่าง ๆ เราชัดเจนเราค่อยไปคุยกับเขาเพื่อให้เข้ามาในตลาดทุนไทยได้ในอนาคต”
ดังนั้น มองว่าต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่ลดลงจาก 3 ปีนี้ให้สั้นลง เพื่อให้บริษัทคุณภาพสามารถเข้าสู่ตลาดได้โดยเร็ว เช่น อาจระยะเวลาเหลือเพียงปีเดียวที่มีกำไร บวกกับใช้การคาดการณ์ (Projection) แทนที่จะรอตัวเลขจริงครบ 3 ปีเข้ามาประกอบการพิจารณาได้เพื่อทำให้บริษัทต่างๆเข้าสู่ตลาดทุนได้เร็วขึ้น
“กลุ่มเป้าหมาย” ที่อยากเห็นเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นคือ บริษัทขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มายื่นขอการส่งเสริมการลงทุนจาก “สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน” (BOI) โดยเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่าง New S-Curve ที่จะกลายมาเป็น “นางฟ้า” ตัวที่ 8 ที่ 9 เหมือนกับ “หุ้น 7 นางฟ้า” ที่พยุงตลาดหุ้นสหรัฐในปัจจุบัน
ดังนั้น เป้าหมายกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยากให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากสุดคือ กลุ่มบริษัทเทคโนโลยี หรือ “นวัตกรรม” ที่เป็นอนาคตและเมกะเทรนด์ของโลกอนาคต ซึ่ง “การแก้เกณฑ์” ดังกล่าวอยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยตั้งเป้าจะแก้ไขให้เรียบร้อย “ภายใน 4 เดือนนี้” และคาดว่าเรื่องนี้จะสำเร็จ
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องเร่งปฏิรูปคือ การจัดการปัญหาคุณภาพและธรรมาภิบาลของตลาดทุนไทย มีปัญหาซ่อนมาก ซึ่งรวมถึงปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) และการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในตลาด
“ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเน้นที่ปริมาณมากเกินไป เช่น เน้นจำนวน IPO ที่เยอะ และจำนวนนักลงทุนที่เยอะ แต่ไม่ได้เน้นคุณภาพของหุ้นที่เข้ามาในตลาด ซึ่งควรเน้นหุ้นที่มีคุณภาพดี แม้จำนวนจะน้อย แต่มีคุณภาพสำหรับนักลงทุน และต้องการเห็นนักลงทุนระยะยาวที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม มองว่านอกจากการปฏิรูปตลาดทุนแล้ว ยังต้องเร่งการบูรณาตลาดทุนไปสู่ “โอกาสใหม่ ๆ” ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้“สินทรัพย์ดิจิทัล” เข้ามาสู่ตลาดดั้งเดิมได้ เนื่องจากมองว่า Digital Asset คืออนาคต และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญโลกของในระยะข้างหน้า ซึ่งจุดเปลี่ยนจะมาจากการตัดสินใจเรื่องนี้ของสหรัฐในการเดินหน้าสนับสนุนตลาดนี้
“เราช่วยใช้โอกาสนี้เป็นผู้นำด้านการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลในอาเซียน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะใช้สินทรัพย์ใหม่ๆโดยการบูรณาการต้องนำดิจิทัลเข้ามาอินทิเกรตกับตลาดดั้งเดิม เพื่อให้ตลาดมีสินทรัพย์ใหม่ๆ และให้นักลงทุนกลุ่มใหม่ๆ เช่นกลุ่ม Bitcoin , Ethereum รวมถึงการทำ Tokenization เช่น Born Tokenization ที่สามารถเข้ามาลงทุนได้”
“ดร.กอบศักดิ์” ยังมองอีกว่า ไม่เพียงแต่ปฏิรูปตลาดทุน แต่ด้านคุณภาพนักลงทุนเป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยอยากเห็นนักลงทุนสถาบัน และมีนักลงทุนที่เป็นระยะยาวมีบทบาทมากขึ้น
เช่นการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้นักลงทุนกลุ่มประกันภัยสามารถลงทุนในตลาดได้มากขึ้นแล้ว อนาคตอาจเปิดให้มูลนิธิและสมาคมต่าง ๆ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและเป็นระยะยาวได้ เช่น พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ เพราะปัจจุบันมูลนิธิเหล่านี้ทำได้เพียงการฝากเงินเท่านั้น แต่สินทรัพย์ที่ลงทุนได้อาจต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า มีความเสี่ยงไม่ได้มาก เพื่อให้สมาคมและมูลนิธิสามารถลงทุนได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มนักลงทุนระยะยาวในตลาด
นอกจกนี้ การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการจัดการกองทุน ที่จะมีการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อลดความซับซ้อนและทำให้การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีง่ายขึ้น โดยอาจจะทำเป็นก้อนเดียว เช่น กองทุน SSF, ThaiESG, LTF ฯลฯ พวกนี้จะอยู่ในกรอบที่สามารถลงทุนได้ทั้งหมด และจะทำให้ผู้ลงทุนทำง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ซึ่งรายละเอียดเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลังและ ก.ล.ต.
โดยคาดสุดท้าย แผนการปฏิรูปตลาดทุนไทยจะสามารถชัดเจนได้ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ของตลาดทุนไทยบนกรอบใหม่ในปีหน้า







