ดาวโจนส์ปิดติดลบต่อ แนสแด็กปิดบวก หลังหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัว

ดาวโจนส์ปิดติดลบต่อ แนสแด็กปิดบวก หลังหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัว

ดัชนีดาวโจนส์ติดลบต่อเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่แนสแด็กปิดบวกพลิกกลับจากขาลงสามวันติดต่อกัน หลังหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัวจากแรงเทขาย แต่กลุ่มเทคโนโลยียังมีความผันผวนสูง

ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite พลิกกลับมาปิดในแดนบวกเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.68) หลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเทคโนโลยีตัวหลักอีกครั้ง หนึ่งวันหลังจากหุ้นกลุ่มนี้นำพาตลาดวอลล์สตรีทเข้าสู่วันเลวร้ายที่สุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน

Nasdaq ซึ่งเน้นหนักในหุ้นเทคโนโลยี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.13% ปิดที่ 22,900.59 จุด หยุดสถิติขาลงติดต่อกัน 3 วัน ส่วน S&P 500 ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง ลดลงเพียง 0.05% ที่ 6,734.11 จุด

ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ลดลง 309.74 จุด หรือ 0.65% ปิดที่ 47,147.48 จุด

ดัชนีทั้งสามฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของวันได้ โดยช่วงหนึ่ง Nasdaq และ S&P 500 ร่วงลงถึง 1.9% และประมาณ 1.4% ตามลำดับ ส่วน Dow ร่วงเกือบ 600 จุด หรือราว 1.3%

หุ้นเทคโนโลยีเริ่มฟื้นตัวหลังถูกกดดันอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยผู้นำในกลุ่มปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) อย่าง Nvidia และ Oracle ต่างกลับขึ้นมาจากการร่วงลงในวันก่อนหน้า เช่นเดียวกับ Palantir Technologies และ Tesla ที่วันก่อนหน้านี้ร่วงแรงมากกว่า 6% กองทุน Technology Select Sector SPDR Fund (XLK) ปิดบวก 0.5% ในวันศุกร์ ชดเชยบางส่วนจากการปรับลดลง 2% เมื่อวันพฤหัสบดี

เมื่อวันพฤหัสบดี ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ต่างเผชิญกับวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ 10 ตุลาคม โดย Dow ที่มีหุ้น 30 ตัว ร่วงประมาณ 800 จุด หักลบที่ขึ้นไปในวันพุธที่ดัชนีแตะระดับ 48,000 จุด ขณะที่ Nasdaq ดิ่งลงเกิน 2% หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างได้รับผลกระทบหนัก

ไบรอัน มัลเบอร์รี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอลูกค้า ของ Zacks Investment Management กล่าวว่า “เรากำลังสลับไปมาระหว่างภาวะการเปิดรับความเสี่ยงและปิดรับความเสี่ยง  ผมคิดว่าผู้คนกำลังมองหาการปรับตำแหน่งการลงทุนเพื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีจนถึงปี 2026 เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้เกิดการกระจุกตัวของพอร์ต”

เขายังเสริมว่า “น่าจะมีเส้นฐานรองรับความผันผวนนี้ เราคาดว่าจะได้เห็นการแกว่งตัวขึ้นลงในช่วง 1-2% ไปจนถึงใกล้สิ้นปี ขณะที่นักลงทุนปรับพอร์ตและลดความเสี่ยง”

หลังตลาดผันผวนสูงมาตลอดทั้งสัปดาห์  Nasdaq จบสัปดาห์ด้วยการลดลง 0.5% ขณะที่ S&P 500 และ Dow ยังคงบวก 0.1% และ 0.3% ตามลำดับ

ความกังวลเกี่ยวกับหุ้นกลุ่ม AI เด่นชัดขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยราคาหุ้น Oracle ที่เคยมาแรงในกลุ่มคลาวด์ร่วงหนัก ทำให้นักลงทุนวิตกกับมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่สูงเกินไป รวมถึงภาระหนี้ที่พุ่งขึ้นและแผนลงทุน AI มูลค่าสูง ทั้งนี้ การเติบโตของ Oracle พึ่งพาดีลคลาวด์กับ OpenAI เป็นหลัก และบริษัทมีเงินสดน้อยกว่าคู่แข่งรายใหญ่

ด้านเดวิด คราเคาเออร์ รองประธานฝ่ายบริหารพอร์ตโฟลิโอของ Mercer Advisors ระบุว่า “AI กำลังทดสอบขีดสุดของการคาดการณ์ในวอลล์สตรีท นักลงทุนกำลังประเมินการเติบโตในอนาคตที่วัดผลล่วงหน้าไม่ได้ นำไปสู่สภาวะตลาดที่เหวี่ยงแรง มูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก ยามใดที่ความคาดหวังเรื่องกำไรหรือดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยก็จะมีผลกระทบใหญ่หลวง”

ความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบถัดไป ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันในตลาดในสัปดาห์นี้ ปัจจุบันนักเทรดคาดการณ์โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคมต่ำกว่า 50% แล้ว ลดลงจาก 62.9% เมื่อต้นสัปดาห์ และ 95.5% เมื่อเดือนก่อน ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool

นักลงทุนหวังว่าการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจและกระตุ้นความกล้าเสี่ยงในตลาดวอลล์สตรีท แต่สมาชิกเฟดบางส่วนยังเป็นห่วงว่าเงินเฟ้อสูงเกินกว่าจะลดดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้

ขณะเดียวกัน การปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้สิ้นสุดลงเมื่อเย็นวันพุธ หลังดำเนินมากว่าหกสัปดาห์ ซึ่งเดิมคาดว่าช่วงเวลาที่นักลงทุนขาดข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจะสิ้นสุดไปด้วย แต่กลับสร้างคำถามใหม่ โดยแคโรไลน์ เลวิตต์  โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ข้อมูลเศรษฐกิจบางชุดที่ควรเผยแพร่ในช่วงดังกล่าว อาจไม่ได้รับการเปิดเผยอีกเลย