ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ เชื่อดอกเบี้ยลง

ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ เชื่อดอกเบี้ยลง

ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบสามสัปดาห์ ในวันอังคาร ตลาดคาดชัตดาวน์สหรัฐยุติ และการกลับมารายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาจเปิดทางให้เฟดลดดอกเบี้ยเดือนหน้า

รอยเตอร์  รายงานราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบสามสัปดาห์ในวันอังคาร (11 พ.ย.68) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทย โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐหรือภาวะชัตดาวน์จะสิ้นสุดลง และการกลับมารายงานข้อมูลเศรษฐกิจอีกครั้ง อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า

ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) เพิ่มขึ้น 0.3% อยู่ที่ 4,126.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ เวลา 15:13 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (20:13 GMT) หลังจากแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม

สัญญาทองคำล่วงหน้าส่งมอบเดือนธันวาคมของสหรัฐฯ (US Gold Futures) ลดลง 0.1% ปิดที่ 4,116.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ทองคำซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มักจะได้รับประโยชน์ในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย

"นักลงทุนเชื่อว่า (ข้อมูล) จะแสดงให้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และนั่นจะกระตุ้นให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม... ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดทองคำ และโลหะเงินมีแรงซื้อมากขึ้นในวันนี้" จิม ไวคอฟฟ์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Kitco Metals กล่าว

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐ ได้อนุมัติข้อตกลงประนีประนอมที่จะยุติการปิดทำการของรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ การปิดทำการครั้งนี้ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจถูกระงับไปด้วย ส่งผลให้ผู้กำหนดนโยบาย และตลาดขาดตัวชี้วัดสำคัญเกี่ยวกับการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ

ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ประธานธนาคารกลาง เจอโรม พาวเวลล์ ย้ำว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ยังคงไม่แน่นอน ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 64% ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม จากเครื่องมือติดตามเฟด FedWatch ของ CME

ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐ สูญเสียการจ้างงานในเดือนตุลาคม ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสามปีครึ่งในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

กรรมการเฟดหนุนลดดอกเบี้ยอีก 

ขณะเดียวกัน สตีเฟน มิแรน กรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ  ได้เสนอแนะเมื่อวันจันทร์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อาจเหมาะสมสำหรับเดือนธันวาคม เนื่องจากตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลงและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง

UBS คาดทองคำยังจะปรับขึ้นต่อ

ธนาคาร UBS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่าความต้องการทองคำในปีนี้ และปีหน้าจะแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554

“ความเสี่ยงทางการเมือง และตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่เป้าหมายขาขึ้นของเราที่ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์” พวกเขากล่าวเสริม

ราคาโลหะเงินตลาดสปอตเพิ่มขึ้น 1.2% มาอยู่ที่ 51.12 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม แพลทินัมเพิ่มขึ้น 0.4% มาอยู่ที่ 1,583.72 ดอลลาร์สหรัฐ และแพลเลเดียมพุ่งขึ้น 2% มาอยู่ที่ 1,442.75 ดอลลาร์สหรัฐ

อัปเดตราคาเช้านี้ (12 พ.ย.68)

บลูมเบิร์ก รายงานว่าราคาทองคำเพิ่มขึ้น 0.4% สู่ระดับ 4,142.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 8:19 น. ตามเวลาสิงคโปร์ ค่าเงินดอลลาร์นิ่ง โดยดัชนี Bloomberg Dollar Spot ทรงตัว โลหะเงิน แพลทินัม และแพลเลเดียมปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยรวมเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันสามวัน เนื่องจากนักลงทุนกำลังพิจารณาข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ และการเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาลสหรัฐ ในเร็วๆ นี้

ราคาทองคำแท่งพุ่งขึ้นแตะระดับประมาณ 4,140 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากข้อมูลจาก ADP Research แสดงให้เห็นว่าบริษัทในสหรัฐ ปลดพนักงานเฉลี่ย 11,250 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วงสี่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ตุลาคม ตัวเลขล่าสุดตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของตลาดแรงงาน และเพิ่มโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งเป็นผลดีต่อทองคำที่ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย

นักลงทุนยังรอข้อมูลอย่างเป็นทางการจำนวนมาก เมื่อรัฐบาลสหรัฐ ยุติการปิดทำการที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ การเริ่มต้นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากที่วุฒิสภาผ่านมาตรการงบประมาณใช้จ่ายชั่วคราว จะช่วยลดความจำเป็นที่นักลงทุนต้องพึ่งพาข้อมูลจากภาคเอกชน ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับการคาดการณ์ และคลายความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่สูงกว่า 4,380 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างเทขายทำกำไรจากการที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางคนกังวลว่าราคาจะสูงเกินไป กองทุนอีทีเอฟทองคำได้กลับตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีกระแสเงินทุนไหลออกสุทธิติดต่อกันสามสัปดาห์ ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก

แต่ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 55% ในปีนี้ ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายสำหรับปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979 โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์