ปลดชนวน ‘หนี้รายย่อย‘ คลัง-ธปท. สตาร์ต ’ปิดหนี้ไว ไปต่อได้‘ ช่วย 3.4 ล้านราย

ปลดชนวน ‘หนี้รายย่อย‘ คลัง-ธปท.  สตาร์ต ’ปิดหนี้ไว ไปต่อได้‘ ช่วย 3.4 ล้านราย

“คลัง-ธปท.-สมาคมธนาคารไทย” จับมือเปิดตัวโครงการแก้หนี้รายย่อยต่ำกว่า 1 แสนบาท “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ด้าน “เอกนิติ” หวังดึงลูกหนี้พ้นกับดักหนี้-ช่วยชีวิตคน “วิทัย” หวังแก้หนี้ได้ 30-50% หรือ 8 แสนคน จากการเข้าไปแก้หนี้ 1.6 ล้านรายในเฟสแรก

KEY

POINTS

  • คลัง-ธปท.-สมาคมธนาคารไทย  เปิดตัวโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ของลูกหนี้รายย่อย
  • โครงการนี้มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยกว่า 3.4 ล้านราย ที่มีหนี้เสียสะสมรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย
  • ใช้กลไกโอนหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะยกเว้นดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมทั้งหมด พร้อมลดเงินต้นให้
  • เปิด 2 ออปชัน เอื้อลูกหนี้ออกจากกับดักหนี้ 'ปิดจบหนี้-ผ่อน 3 ปี ปิดบัญชี และกลับมามีสถานะเครดิตบูโรเป็นปกติ

ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ปัญหาใหญ่ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน และกำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ 

ล่าสุดกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย เปิดตัวโครงการ "แก้หนี้รายย่อย" ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล ต่ำกว่า 100,000 บาท ผ่านโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยกว่า 3.4 ล้านราย หรือ 4.7 ล้านบัญชี โดยคิดเป็นยอดเงินกว่า 1.2 แสนล้านบาท 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปโดยไม่แก้ไขจริงจังจะไม่เพียงแค่ดึงเศรษฐกิจไทยไว้เท่านั้น แต่ยังดึงชีวิตของคนไทยอีกจำนวนมากลงไปด้วย

ดังนั้นปัญหา “หนี้ครัวเรือน” จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่คือชีวิตจริงของผู้คน คือเรื่องของความเป็นอยู่ของครอบครัว และเป็นภาพสะท้อนของความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว หากไม่ช่วยเหลือให้คนไทยสามารถกลับมายืนบนขาของตนเองได้ เศรษฐกิจก็ไม่อาจฟื้นได้อย่างยั่งยืน

และหนึ่งในโครงการเรือธงที่รัฐบาลเดินหน้าอย่างเร่งด่วน คือ โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งนโยบายเศรษฐกิจผ่าน “Quick Big Win” กระตุ้นสั้นได้ผลยาว

มีเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสีย (NPL) ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งเป็น “เสาหลักที่สอง” ของแผน Quick Big Win ที่มุ่งลดภาระหนี้ประชาชนเป็นระบบช่วยให้คนที่เคยล้มกลับมามีชีวิตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง

สำหรับกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนที่มีหนี้เสียสะสมรายละไม่เกินหนึ่งแสนบาท ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งประเทศ มีจำนวนกว่า 3.4 ล้านราย รวมกว่า 4.7 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้รวม 120,000 ล้านบาท

“เราต้องมองให้ไกลกว่าแค่การลดยอดหนี้หรือยืดเวลาชำระ โครงการนี้ไม่ใช่เพียงช่วยให้เขาพ้นหนี้ระยะสั้น แต่คือ การช่วยชีวิตคน ให้เขากลับมามีลมหายใจทางเศรษฐกิจอีกครั้ง และมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ได้จริง ถ้าไม่มีความร่วมมือจากทุกฝ่าย โครงการนี้ไม่มีทางสำเร็จได้”

สำหรับโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยแหล่งเงินทุนมาจากเงินที่เหลือจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งมีเงินเหลืออยู่ราว 20,000 ล้านบาท เงินส่วนนี้จึงถูกนำมาใช้ต่อยอดเพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ยังตกค้างอยู่ในระบบหนี้

ต่อยอดช่วยแก้หนี้ภาคเกษตร

นอกจาก โครงการแก้หนี้รายย่อย ในระบบแล้ว กระทรวงการคลังเตรียมเดินหน้าโครงการคู่ขนานในภาคเกษตร ซึ่งมีลักษณะหนี้ต่างกัน โดยเฉพาะหนี้เกษตรกรที่ผูกพันกับฤดูกาล เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือราคาผลผลิตตกต่ำ 

สำหรับหนี้เกษตรจะดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งจะตั้ง AMC ภายในตนเองเพื่อรองรับการแก้ไขหนี้ในรูปแบบเฉพาะทาง เนื่องจากหนี้เกษตรมีธรรมชาติที่แตกต่างจากหนี้ครัวเรือนทั่วไป ซึ่งโครงการนี้จะมีขนาดเล็กกว่า โดยเม็ดเงินรวมไม่ถึงหลักหมื่นล้านบาท แต่ช่วยเกษตรกรได้เป็นจำนวนหลักล้านราย และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปี 2569

ส่วนการแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม เช่น น้ำท่วม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งหากดูตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้เงินงบประมาณปีละหลายหมื่นล้านบาทในการเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่หากนำเงินเหล่านั้นมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างเขื่อน หรือระบบจัดการน้ำขนาดใหญ่

ดังนั้น กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการเยียวยา มาเป็นการป้องกัน และแก้ไขอย่างยั่งยืน 

ทั้งนี้อาจใช้แหล่งเงินจากสินเชื่อผ่อนปรน (Soft Loan) จากต่างประเทศ พร้อมได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้โครงการนี้สอดคล้องกับหลักสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพื่อร่วมแรงร่วมใจ เพื่อให้ชีวิตคนไทยไปต่อได้

หนี้ครัวเรือนคือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยไม่ได้เป็นเพียงประเด็นเชิงเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกมานาน และกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ประชาชนวงกว้าง

รวมถึงต่อการเติบโตเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งหากดูหนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบันแม้จะลดลงจากระดับกว่า 90% ของจีดีพีมาอยู่ที่ราว 87% แล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค และเป็นระดับที่สร้างแรงกดดันต่อทั้งภาคเศรษฐกิจ และประชาชน

ดังนั้น หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ถ้าไม่แก้ไข มันจะเหนี่ยวรั้งการเติบโตของประเทศไปอีกยาว ที่สำคัญที่สุดคือ มันกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนโดยตรง

ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐ ธปท. ได้ตระหนักว่าการแก้หนี้ให้ได้ผล จำเป็นต้องเจาะจงและ “ตรงจุด” โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีปัญหาหนี้เสียอยู่ในระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้ไม่สูงมาก แต่จำนวนคนกลับมหาศาล

ดังนั้น ธปท. จึงเลือก “กลุ่มลูกหนี้ที่มียอดหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท” เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนำร่องครั้งนี้ เพราะแม้จำนวนเงินต่อหัวจะไม่มาก แต่กลุ่มนี้มีจำนวนบัญชีสูงถึง 4.7 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 3.4 ล้านราย ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นกว่า 60% ของจำนวนลูกหนี้เสียทั้งหมดในระบบ

ทั้งนี้ เป้าหมายของโครงการนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน แต่เพื่อช่วย “คน” ให้กลับมามีชีวิตใหม่ในระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง เป็นการช่วยทั้งระบบ และช่วยคนไปพร้อมกัน

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ ธปท. ที่นอกจากจะดูแลนโยบายการเงินแล้ว ยังมุ่งเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระดับจุลภาค เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้นจริง

เฟสแรกแก้หนี้ 1.9 ล้านบัญชี

อย่างไรก็ตาม จากลูกหนี้รวมกว่า 4.7 ล้านบัญชี ในนี้จะถูกแก้หนี้ก่อนในเฟสแรก คือ ลูกหนี้จากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทนอนแบงก์ในเครือธนาคาร ซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 1.6 ล้านบัญชี และจะมีอีกกว่า 3.3 แสนบัญชี จะมาจากลูกหนี้แบงก์รัฐ

หัวใจสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่การเปลี่ยนบทบาทของ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ ธปท. ถือหุ้น 100% เดิมที SAM มีหน้าที่จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเชิงพาณิชย์ เช่น หนี้จากสถาบันการเงินในอดีต แต่ในโครงการนี้ SAM จะถูกปรับบทบาทให้กลายเป็น Social AMC มาสู่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อสังคม ที่ไม่ได้มุ่งหวังกำไรอีกต่อไป แต่มีเป้าหมายเพื่อ “ช่วยคน” เป็นหลัก

“เมื่อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ถูกโอนเข้าสู่ SAM แล้ว SAM จะปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ โดยมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพื่อให้ลูกหนี้สามารถหลุดพ้นจากกับดักหนี้ได้จริง”

เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อ” ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญคือ

1. ยกดอกเบี้ยทั้งหมด ทั้งดอกเบี้ยปกติ และดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่ค้างอยู่ทั้งหมดจะถูกยกเลิกทันที

2. ยกค่าธรรมเนียมทั้งหมด ค่าธรรมเนียมทุกรูปแบบที่ค้างอยู่จะถูกล้างออกหมด

3. ลดเงินต้นในสัดส่วนสูง เพื่อให้ลูกหนี้มีภาระชำระที่เบาลงมากพอจะกลับมาชำระได้จริง

ซึ่งหลังจากปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ลูกหนี้จะสามารถเลือกได้ 2 แนวทาง คือ ชำระหนี้ครั้งเดียว หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที จะถือว่า “ปิดบัญชีสมบูรณ์” และจะได้รับการปรับสถานะเครดิตบูโรกลับมาเป็น รหัส 11 หรือ “ลูกหนี้ปกติ” ทันที และหากผ่อนชำระได้สูงสุด 3 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย ลูกหนี้สามารถทยอยชำระหนี้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี

ซึ่งระหว่างนั้นจะไม่คิดดอกเบี้ยเลย เมื่อชำระครบตามกำหนด จะได้รับการปรับรหัสเครดิตกลับเป็นลูกหนี้ปกติ

อย่างไรก็ตามหลังจากการโอนขายหนี้ให้ SAM เสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ม.ค.2569 ลูกหนี้สามารถเริ่มชำระหนี้ได้ทันที โดยในช่วงแรกสามารถชำระผ่านสถาบันการเงินเดิมที่ถือบัญชีอยู่ และเมื่อระบบของ SAM พร้อมเต็มรูปแบบในเดือนถัดมา ลูกหนี้จะสามารถชำระโดยตรงผ่านช่องทางของ SAM ได้เช่นกัน

หวังช่วยลูกหนี้ 8 แสนคนกลับสู่ระบบ

ทั้งนี้โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อ” ถือเป็นมาตรการเฉพาะกิจ ที่ออกแบบให้ทำเพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อ moral hazard หรือพฤติกรรมที่คาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือซ้ำในอนาคต เป้าหมายเบื้องต้นคือ ในเฟสแรก จากลูกหนี้ในโครงการกว่า 1.6 ล้านราย คาดหวังว่าจะสามารถช่วยลูกหนี้ประสบความสำเร็จ และกลับสู่ระบบได้ราว 30-50% หรือราว 500,000–800,000 คน

“เราทำงานแข่งกับเวลา เพื่อสร้างอิมแพ็กต์ให้กับประเทศ และช่วยคนให้ได้มากที่สุด โครงการนี้ไม่ได้มีเป้าหมายทางธุรกิจ แต่มุ่งสร้างผลลัพธ์ทางสังคมอย่างแท้จริง”

แก้หนี้ครัวเรือนภารกิจร่วมทั้งประเทศ  

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคการเงินไทยในการขับเคลื่อนโครงการ “แก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)” เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยที่รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจให้กลับมาตั้งหลัก และเริ่มต้นใหม่ทางการเงินได้อีก

ช่วงที่ผ่านมาไทยเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้ไม่มีหลักประกันที่เป็นภาระของครัวเรือนจำนวนมาก ลูกหนี้หลายรายชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด ถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจ และเข้าไม่ถึงสินเชื่อใหม่ส่งผลต่อทั้งชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน และเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ

สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิกตระหนักดีว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นภารกิจร่วมของทั้งประเทศ สอดคล้องกับแนวทาง “Reinvent Thailand” ที่ภาคการเงินร่วมกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯ และ ธปท.ผลักดันมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง จากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มุ่งรักษาบ้านและรถ

ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานดำรงชีพมาจนถึงการช่วยลูกหนี้ไม่มีหลักประกันผ่านกลไก AMC โครงการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการช่วยลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพ และตั้งใจชำระหนี้ ให้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ลดภาระหนี้ ปรับปรุงประวัติในเครดิตบูโร และเปิดโอกาสกลับเข้าสู่สินเชื่อในระบบ

โดยดำเนินการภายใต้แนวทาง Responsible Lending และ Market Conduct อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และไม่สร้างภาระต่อภาครัฐ

การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของสมาคมธนาคารไทย ที่มุ่งสร้างระบบการเงินที่รับผิดชอบต่อสังคม ภายใต้หลักการ 5 ประการ คือ การกู้ยืมอย่างเหมาะสม, การแข่งขันที่เป็นธรรม, การอยู่บนกติกาเดียวกัน,ความเป็นธรรม และการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์