ราคาทองคำพุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์เหนือ 4,100 ดอลลาร์

ราคาทองคำพุ่งขึ้นเกือบ 3% สู่ระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ขึ้นเหนือ 4,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ในวันจันทร์ หลังข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอหนุนการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยเฟด
รอยเตอร์ รายงานราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในวันจันทร์ (10 พ.ย.68) ตามเวลาสหรัฐ หรือเมื่อคืนตามเวลาไทย แตะระดับสูงสุดในรอบกว่าสองสัปดาห์ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากสหรัฐ ตอกย้ำความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยนี้เพิ่มขึ้น
ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) พุ่งขึ้น 2.8% มาอยู่ที่ 4,111.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ เวลา 14:21 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (19:21 GMT) หลังจากแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ในช่วงต้นของการซื้อขาย สัญญาทองคำล่วงหน้าส่งมอบเดือนธันวาคมของสหรัฐ (US Gold Futures) เพิ่มขึ้น 2.8% ปิดที่ 4,122.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
"ข้อมูลที่อ่อนแอในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้นในการคาดการณ์ของเฟด ... เรายังคงมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม" ปีเตอร์ แกรนท์ รองประธาน และนักกลยุทธ์อาวุโสด้านโลหะของ Zaner Metals กล่าว ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐ สูญเสียตำแหน่งงานในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ภาครัฐ และภาคค้าปลีกต้องสูญเสียงาน นอกจากนี้ จากข้อมูลในวันศุกร์
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐ ยังทรุดตัวลงในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากครัวเรือนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 64% ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม และโอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 77% ภายในเดือนมกราคม ตามข้อมูลของเครื่องมือติดตามเฟด FedWatch ของ CME Group
ราคาทองคำที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีในสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ และในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
แกรนท์ กล่าวเสริมว่า ราคาทองคำอาจอยู่ในช่วง 4,200 - 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยราคา 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังคงเป็นเป้าหมายที่สมเหตุสมผลสำหรับไตรมาสแรกของปีหน้า
ทรัมป์หนุนดีลยุติชัตดาวน์
ขณะเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐ ได้มีมติเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมาตรการที่มุ่งเป้าไปที่การเปิดทำการของรัฐบาลกลางอีกครั้ง และยุติการปิดทำการหรือภาวะชัตดาวน์นาน 40 วัน ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็สนับสนุนดีลเปิดทำการ
“การเปิดประเทศอีกครั้งจะช่วยฟื้นฟูการไหลเวียนของข้อมูล และฟื้นความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ จะทำให้ตลาดหันความสนใจกลับไปที่แนวโน้มการคลังของสหรัฐ ที่กำลังแย่ลง” โอเล แฮนเซน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารแซกโซ กล่าวในบันทึก
ในตลาดอื่นๆ ราคาโลหะเงิน ทะยานขึ้น 4.5% มาอยู่ที่ 50.46 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 ราคาแพลทินัมเพิ่มขึ้น 2.4% มาอยู่ที่ 1,582.50 ดอลลาร์ และแพลเลเดียมพุ่งขึ้น 3.1% มาอยู่ที่ 1,422.79 ดอลลาร์
อัปเดตราคาเช้านี้ (11 พ.ย.68) ทองขึ้นต่อ
บลูมเบิร์ก รายงานว่าราคาทองคำเพิ่มขึ้น 0.3% อยู่ที่ 4,127.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 08:33 น. ตามเวลาสิงคโปร์ ดัชนีบลูมเบิร์กดอลลาร์สปอตทรงตัว โดยโลหะเงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้น
ทองคำทรงตัวหลังจากทำสถิติพุ่งสูงสุดรายวันนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ประกอบกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ใกล้จะสิ้นสุดลง ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก
ราคาทองคำแท่งทรงตัวในวันอังคารที่ประมาณ 4,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากพุ่งขึ้นมากถึง 2.9% ในการซื้อขายก่อนหน้า คาดว่าข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองเพื่อยุติการปิดหน่วยงานในกรุงวอชิงตัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลน่าจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งภายในไม่กี่วันนี้
การกลับมาเปิดทำการอีกครั้งจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยตรวจสอบภาวะเศรษฐกิจ และคาดว่าจะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่แย่ลง ในทางกลับกัน นี่จะเป็นตัวเร่งให้ธนาคารกลางผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงส่งให้กับทองคำ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







