เตือนภูเขา‘หนี้’ก่อตัวทั่วโลก ‘กูรู’ ชี้นโยบายประชานิยม สะเทือนการคลัง

กูรู มองว่าการขาดวินัยทางการเงินทั่วโลกอาจนำไปสู่ "มาตรฐานใหม่" (New Normal) ที่ยอมรับระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องเกิดการ "รีเซต" ระบบการเงินในอนาคต
KEY
POINTS
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าหนี้สาธารณะทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตโควิด-19
- ผู้เชี่ยวชาญ (กูรู) ชี้ว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่รวมถึงไทย ต้องระมัดระวังการใช้นโยบายประชานิยมที่เพิ่มหนี้แต่ไม่สร้างรายได้ที่ยั่งยืน ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
- หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 40% เป็น 64% ของ GDP นับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยถูกปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือ (Outlook) เป็น Negative
- ความกังวลหลักมุ่งไปที่นโยบายประชานิยมที่เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบครั้งเดียว ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยและไม่คุ้มค่า ต่างจากหนี้เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
- ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการขาดวินัยทางการเงินทั่วโลกอาจนำไปสู่ "มาตรฐานใหม่" (New Normal) ที่ยอมรับระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องเกิดการ "รีเซต" ระบบการเงินในอนาคต
- ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เช่น ทองคำ และบิตคอยน์ มากขึ้น
“หนี้สาธารณะทั่วโลก” กลับมาเป็นประเด็น “ร้อนแรง” อีกครั้ง หลัง “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) ออกโรงเตือนว่า “หนี้” ของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี สะท้อนภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ “วิกฤติโควิด-19”
อย่างไรก็ตาม เหล่า “กูรู” มองว่าหนี้ที่ใช้เพื่อการลงทุน “โครงสร้างพื้นฐาน” ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ขณะที่ กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึง “ไทย” จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษต่อการใช้นโยบาย “ประชานิยม” ที่เพิ่มหนี้แต่ไม่สร้างรายได้ที่ยั่งยืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ซึ่ง “วิกฤติโควิด-19” คือตัวเร่งหนี้พุ่ง ส่งผลถัดมา “ไทย” ถูกลด Outlook เป็น Negative
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด (บลจ.อีสท์สปริง) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หนี้สาธารณะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2020 หลังวิกฤติโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องออกมาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยตัวเลขหนี้สาธารณะได้ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณ 40% เป็นประมาณ 63% ของ GDP (ปัจจุบันอยู่ที่ 64%) ซึ่งหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยถูกปรับลด Outlook ให้เป็น Negative
โดยความกังวลของ IMF เน้นไปที่นโยบายการคลังที่ถูกนำมาใช้ เนื่องจากนโยบายการเงินเริ่มมีข้อจำกัดจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วมักใช้เครื่องมือทาง “การคลัง” ในโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น สหรัฐ กับโครงการ “One Big Beautiful Build” ซึ่งแม้จะเพิ่มหนี้ แต่ก็ถูกนำมาใช้เพื่อการลงทุน
ขณะที่ประเทศ Emerging Market รวมถึงประเทศไทย มักจะใช้โครงการที่เน้นนโยบายการคลัง และสิ่งที่น่ากังวลคือ หลายประเทศเริ่มใช้ “นโยบายประชานิยม” ซึ่งเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบครั้งเดียว (One Time Event)
ดังนั้น การจ่ายเงินครั้งเดียวหรือ นโยบายประชานิยมในหลายประเทศรวมถึงไทย การหมุนเวียนของเงินอาจจะน้อย ดังนั้น ทำให้เกิด “ความกังวล” ซึ่งเมื่อรวมกับ “โครงการขนาดใหญ่” และ “นโยบายที่ไม่คุ้มค่า” จะส่งผลให้หนี้เพิ่มขึ้นมาก และลดความน่าเชื่อถือ หรือเสถียรภาพทางการคลังลง
นอกจากนี้ เมื่อใดก็ตามที่ “อัตราดอกเบี้ย” เริ่มเป็น “ขาขึ้น” สิ่งที่ตามมาคือ ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงตามไปด้วย
“วิศกรณ์ คีรีวรรณ”, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่ IMF พูดอยู่บนข้อเท็จจริง และยอมรับว่าทั้งโลกไม่มีใครสามารถลดหนี้สาธารณะของตนเองได้ โดยหนี้มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหนี้รัฐบาลสหรัฐพุ่งสูงถึงกว่า 120% แต่การก่อหนี้รอบนี้ไม่น่ากังวลเท่าในอดีต เนื่องจากเป็นผลจากการวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมากของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาคือโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น AI จะทำให้เกิดการจ้างงานขึ้นจริงหรือไม่ เพราะหากไม่ทำให้เกิดการจ้างงาน ก็จะกลับไปสู่ปัญหาเดิมที่หนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้
“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากระบบการเงินโลกกำลังจะเปลี่ยนมาตรฐานใหม่เพราะขาดวินัยทางการเงินทั่วโลกหนี้สาธารณะที่สูงนำไปสู่ความกังวลเรื่องการชำระหนี้ และเมื่อชำระไม่ได้ก็ต้องกู้เพิ่ม โดยมีธนาคารกลางเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการพิมพ์ธนบัตร
ขณะที่ โครงสร้างหนี้ไทย และหลายประเทศ “ยังไม่น่ากลัวมากนัก” เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ ซึ่งสถานการณ์หนี้สหรัฐยังคงแข็งแกร่ง เพราะโครงสร้างหนี้เน้นไปที่หนี้ที่ถือครองโดยต่างประเทศ ซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะเทขายพันธบัตรในตลาดรองอย่างมโหฬารได้ เนื่องจากจะทำให้ผู้ที่ถือครองมาก ๆ เจ็บตัว ดังนั้น ความน่าเชื่อถือ “ระดับโลก” และ “ความแข็งแกร่งของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ” ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก มีสภาพคล่องสูงสุดและอันดับเครดิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ IMF เตือนคือ ทุกประเทศทั่วโลกต่างมีหนี้เยอะและไม่มีใครมีวินัยทางการเงิน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่จุดจบที่ต้องมีการ “รีเซต” ในสักวันหนึ่ง เพราะเป็นปริมาณหนี้ที่ไม่มีวันใช้คืนได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะไม่ถึงขั้นเป็น “วิกฤติการเงินที่รออยู่” เนื่องจากไม่มีการเทขายเกิดขึ้น และทุกคนยอมรับสภาพ มันจะกลายเป็น “New Normal” หรือมาตรฐานใหม่ “หนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่เคยถูกกำหนดว่าต้องไม่เกิน 50% อาจได้รับการยอมรับที่ระดับ100% หรือ 120% กลายเป็นเรื่องปกติ”
นอกจากนี้ ตลาดที่กังวลเรื่องหนี้ที่แย่ ส่งผลให้สินทรัพย์ เช่น “ทองคำ” และ “บิตคอยน์” ปรับเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณสะท้อนความต้องการสินทรัพย์ที่ถือเป็น “Safe Haven” ในภาวะที่เสถียรภาพทางการเงินของรัฐบาลทั่วโลกถูกตั้งคำถาม







