กองทุนฟื้นฟูค้ำหนี้ ‘เอสเอ็มอี‘ แบงก์ชาติ งัดไม้เด็ดกระตุ้นแบงก์ ปล่อยกู้ธุรกิจรายเล็ก

กองทุนฟื้นฟูค้ำหนี้ ‘เอสเอ็มอี‘  แบงก์ชาติ งัดไม้เด็ดกระตุ้นแบงก์ ปล่อยกู้ธุรกิจรายเล็ก

“วิทัย” ผู้ว่าแบงก์ชาติ เดินหน้ามาตรการช่วยเอสเอ็มอี ผ่านการดึงเงินกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี หวังลดความเสี่ยงแบงก์ปล่อยสินเชื่อ เอื้อแบงก์กล้าปล่อยกู้เพิ่ม หวังเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน เศรษฐกิจหมุนเวียนเพิ่ม พร้อมเร่งเดินหน้าเปลี่ยนภาพ ธปท.มาใกล้ชิดปัญหา ใกล้ชิดสังคมมากขึ้น ไม่ได้มุ่งหวังเพียงการดูภาพใหญ่เฉพาะนโยบายการเงินเท่านั้น

KEY

POINTS

  • ธปท.เตรียมจัดตั้งกลไกค้ำประกันสินเชื่อใหม่ เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์กล้าปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจ SME มากขึ้น หลังจากที่ธนาคารระมัดระวังการปล่อยกู้เพราะมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง
  • ย้ำแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการนี้จะมาจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู FIDF ซึ่งไม่ใช่เงินงบประมาณของรัฐบาล ทำให้สามารถดำเนินมาตรการได้อย่างรวดเร็ว
  • หวังกลไกใหม่นี้ เอื้อช่วยค้ำประกันให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อง่าย รวดเร็วขึ้น  ลดความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคารโดยตรงเมื่อเกิดหนี้เสีย
  • เล็งช่วยเหลือจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น 5 อุตสาหกรรมหลักตามแนวคิด “Reinvent Thailand” และอุตสาหกรรมที่ต้องการปรับตัว

กองทุนฟื้นฟูค้ำหนี้ ‘เอสเอ็มอี‘  แบงก์ชาติ งัดไม้เด็ดกระตุ้นแบงก์ ปล่อยกู้ธุรกิจรายเล็ก ปัจจุบันรัฐบาลกำลังเดินหน้าหลายโครงการเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านวิกฤติไปได้ ภายใต้ 5 เสาหลักตามนโยบายของภาครัฐ โดยเริ่มจากการเพิ่มกำลังซื้อผ่านคนละครึ่งพลัส และเสาที่ 2 คือ การแก้หนี้รายย่อยผ่านกลไกของการให้ AMC เข้าไปซื้อหนี้เสียในระบบช่วยรายย่อยที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท 

ขณะที่เป้าหมายถัดไปที่อยู่ระหว่างการดำเนินการถัดไปคือ การช่วยเหลือ “เอสเอ็มอี” ที่เป็นกำลังหลักของประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยยอมรับว่า ปัจจุบัน ธปท.อยู่ระหว่างหารือ และทำงานร่วมกันกับ 3 หน่วยงานหลัก คือ ธปท.กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ “เอสเอ็มอี” ต่อจากมาตรการแก้หนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท ผ่านกลไกของ AMC

โดยมาตรการถัดไปที่อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันคือ แนวทางการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ให้สามารถเข้าถึง “สินเชื่อ” ได้ในอนาคต เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากขึ้น

นายวิทัย ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของ “เอสเอ็มอี” ในปัจจุบัน มองว่าปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญคือ “สินเชื่อติดลบ และเครดิตคอสต์สูง”

โดยสาเหตุที่สินเชื่อติดลบ ส่วนหนึ่งมาจากการที่สถาบันการเงินมองเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้เกิดความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งความเสี่ยงสูงจากการปล่อยสินเชื่อหลักมาจาก 2 ด้านหลัก คือ 

1.Financial Cost คือ ต้นทุนทางการเงิน ที่มักไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เนื่องจากมีสัดส่วนเล็กน้อยหากเทียบกับความเสี่ยงทั้งหมด

2.Credit Cost คือ ต้นทุนด้านเครดิต ต้นทุนในการปล่อยสินเชื่อที่เป็นปัญหาหลักในปัจจุบัน โดยหาก Credit Cost สูงขึ้นอาจแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของการสูญเสียเงินต้น เช่น ปัจจุบันที่ Credit Cost จากการปล่อยสินเชื่อทั่วไปอาจอยู่ที่ 5% แต่เอสเอ็มอีอาจสูงถึง 10-20%

ทั้งนี้ หากดูกลไกการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อมีอยู่แล้ว คือ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือมาจากเงินชดเชยจากภาครัฐ 

แต่ด้วยกระบวนการการค้ำประกันที่มีความซับซ้อน และแนวทางปฏิบัติจึงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับทั้งผู้ปล่อยสินเชื่อ และผู้ขอสินเชื่อ หรือกลไกผ่าน NaCGA หรือ สถาบันค้ำประกันแห่งชาติ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถดำเนินการเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตั้ง

  • ผนึกหน่วยงานผุดมาตรการช่วย

ดังนั้นมองว่า ภายใต้ข้อจำกัด ช่องว่างที่ต้องเร่งแก้ไขในปัจจุบันจะต้องเร่งเพิ่มกลไกในการเข้ามาช่วยเหลือ “เอสเอ็มอี” เร่งด่วนจึงคิด  “กลไกการค้ำประกัน” ขึ้นมาคือ กลไกค้ำประกันสินเชื่อใหม่ (Simplified Version) เพื่อแก้ไขปัญหาสินเชื่อติดลบ และเครดิตคอสต์ที่อยู่ระดับสูงโดยตรง

ตอนนี้ยังเป็นแนวคิด มาตรการเลยยังไม่มีชื่อทางการ แต่มีหลักการพื้นฐานคือ การเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ที่กลไกใหม่นี้ ถูกออกแบบให้เป็น Simplify Version ของตัว บสย.เพื่อให้ใช้ได้ง่ายดียิ่งขึ้น

สำหรับการดำเนินการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก ประกอบด้วย
1.ลดความเสี่ยงด้านเครดิต เมื่อธนาคารปล่อยสินเชื่อออกไป ธนาคารจะสามารถทราบได้ทันทีว่าตัวเองมีสิทธิได้รับการค้ำประกันเท่าใด ซึ่งการรู้ขีดจำกัดความรับผิดชอบที่ชัดเจนนี้จะช่วยลดความเสี่ยง (Credit Cost) ลง

 2.มีเป้าหมายโดยตรง โดยกลไกนี้มุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหา Credit Cost โดยตรง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะ “อิมแพค” หรือ Effective มากกว่ากลไกการค้ำประกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

3.กลไกนี้ไม่ได้ลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้ที่ก่อไม่ให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลโดยตรง แต่จะลดความเสียหายหรือความเสี่ยงด้านเครดิตหากมี “หนี้เสีย” เกิดขึ้นธนาคารสามารถใช้กลไกนี้ลดความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อได้

  • จับกลุ่มเป้าหมาย 5 อุตสาหกรรม

สำหรับจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่เพื่อให้กลไกการค้ำประกันต่างๆ ไม่ทับซ้อนกับกลไกของ บสย. มาตรการนี้จะต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการเข้าไปช่วยเหลือชัดเจน โดยจะเริ่มต้นจาก 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามแนวคิด “Reinvent Thailand”

ได้แก่ เกษตร และอาหาร ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ สุขภาพ และการแพทย์ ท่องเที่ยว

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการหารือเพื่อเพิ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยได้ให้ทีมงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อหาอุตสาหกรรมที่ต้องการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น กลุ่มการค้าปลีกค้าส่ง กลุ่มส่งออก

ย้ำว่ากลไกนี้ไม่ได้ช่วยทุกกลุ่ม ไม่ใช่แก้ปัญหาทุกสิ่ง ไม่ใช่อะไรเข้ามาก็ได้หมด จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนพอกลุ่มเป้าหมายชัดแล้ว ก็จะมีการกำหนดสินเชื่อเป้าหมาย เช่น สินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้มาใช้กลไกนี้ได้ แต่อยู่ในกลุ่มเอสเอ็มอี หากวันนี้กลไกของ บสย.ค้ำประกันอยู่ไม่เกิน 40 ล้านบาท มาตรการนี้อาจขยายไปถึงเอสเอ็มอีไม่เกิน 100 ล้านบาท

โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อต้องการสร้าง Impact ที่ชัดเจนเพื่อช่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยง และยังมีความสามารถในการแข่งขัน และมีความจำเป็นต้องปรับตัว เป้าหมายหลักเมื่อสินเชื่อขยายตัวขึ้น ทำให้เอสเอ็มอีมีเงินไปหมุนเวียน และสุดท้ายจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการหมุนเวียนมากขึ้น

  • ดึงเงินกองทุน FIDF ช่วยเอสเอ็มอี

สำหรับมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีครั้งนี้ แหล่งเงินที่จะถูกนำมาใช้จะมาจากเงินที่เหลืออยู่จาก กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟู (FIDF)

เนื่องจากเงินส่วนนี้ ไม่ใช่งบประมาณของรัฐบาล  ทำให้สามารถดำเนินมาตรการได้เร่งด่วน และหากมีความจำเป็นเพิ่มเติมอาจใช้เงินจาก FIDF ต่อเนื่องจากเงินนำส่งของสถาบันการเงินปี 2569 เพิ่มเติมได้

ทั้งนี้การแยกเงินจาก FIDF ออกมาเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ยังไม่ได้กำหนดว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานใด ซึ่งอาจเป็น ธปท.หรือสมาคมธนาคารไทยโดยตรง

และการนำเงินมาใช้จะถูกใช้เป็นกลไกเฉพาะในช่วงที่เกิดปัญหาในปัจจุบันเท่านั้น เมื่อหมดมาตรการ การช่วยเหลือก็ต้องจบ ไม่มีการช่วยเพิ่มเติม

วันนี้หลักการคือ การใช้เงินจาก FIDF ที่เหลืออยู่ ยังไม่รู้จะใช้เท่าไร เช่นหากใช้ 1 หมื่นล้านบาท จะค้ำประกันได้ 20% ของเอ็นพีแอล ก็จะได้ 5 เท่า คือ 5 หมื่นล้านบาท หากใช้ 2 หมื่นล้าน จะได้ 1 แสนล้านบาท เพื่อเร่งให้เกิดกระบวนการเร่งปล่อยสินเชื่อ เร่งลดเครดิตคอร์ต ส่วนรายละเอียดยังอยู่ระหว่างเจรจากันต่อไป รอให้จบ AMC จะเริ่มดำเนินการเรื่องนี้ต่อทันที”

  • ย้ำพันธกิจใกล้ชิดปัญหา-ใกล้ชิดสังคมขึ้น

นายวิทัย กล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมายของการดำเนินงานของ ธปท. ตนต้องการเปลี่ยนภาพของ ธปท. จากเดิมที่มองว่า การดำเนินนโยบายต่างๆ ถูกมุ่งเน้นไปที่ภาพใหญ่ คืนนโยบายการเงิน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเป็นหลัก แต่หลังจากนี้จะเปลี่ยนองค์กรลงมาใกล้ชิดกับปัญหา ใกล้ชิดกับสังคมมากขึ้น

“วันนี้ผมต้องการเปลี่ยนภาพว่าแบงก์ชาติ ว่าไม่ได้ดูภาพใหญ่ที่ดูด้านนโยบายการเงิน เพียงดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียวแล้ว แต่เราจะลงมาใกล้ชิดปัญหา ใกล้กับสังคมมากขึ้น จากปัญหาที่เราเห็นอยู่แล้วในวันนี้ให้ถูกแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาหนี้เสียรายย่อย ที่เราแก้โดย AMC และต่อไปจะเป็นการแก้ปัญหาเอสเอ็มอีที่ต้องทำให้เกิดความต่อเนื่อง”

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์