จ่อดึง ‘กองทุนฟื้นฟู‘ อุ้มเอสเอ็มอี เจียด 4 หมื่นล้าน ‘ลดภาระหนี้-สินเชื่อหนุนสภาพคล่อง

จ่อดึง ‘กองทุนฟื้นฟู‘ อุ้มเอสเอ็มอี เจียด 4 หมื่นล้าน  ‘ลดภาระหนี้-สินเชื่อหนุนสภาพคล่อง

วงในเปิดนโยบายเร่งด่วนภาครัฐ “เสาที่ 3 ” ผลักดันแผนช่วยเหลือ “เอสเอ็มอี” เตรียมลง ดึงเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ครึ่งหนึ่งเฉียด 4 หมื่นล้าน ตั้งกองกลางช่วยเหลือเอสเอ็มอี แก้ปัญหาสภาพคล่อง-ลดภาระเอสเอ็มอี หวังดึงเอสเอ็มอีจากวิกฤติ หวังเป็นจุดเชื่อมประคองเศรษฐกิจ จับตายืดเวลาปิดบัญชีหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ

KEY

POINTS

  • รัฐจ่อดึงเงินจาก "กองทุนฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน" (FIDF) มาใช้ในมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่กำลังประสบปัญหา
  • เกือบ 4 หมื่นล้าน จัดตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือ
  • วัตถุประสงค์หลักของโครงการคือ เพื่อลดภาระหนี้สินเดิมของผู้ประกอบการ และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ
  • พยุง SME ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ และกำลังเผชิญวิกฤติจากการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน

จ่อดึง ‘กองทุนฟื้นฟู‘ อุ้มเอสเอ็มอี เจียด 4 หมื่นล้าน  ‘ลดภาระหนี้-สินเชื่อหนุนสภาพคล่อง นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็น 1 ใน 5 ด้านของนโยบายหลักที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งขับเคลื่อนประเทศในช่วง 4 เดือน

ภายใต้นโยบาย “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” ที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะติดหล่ม ผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่

1.กระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว 2.แก้หนี้ประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) 3.การช่วยเหลือธุรกิจ SME 4.เพิ่มการออมภาคประชาชน และ 5.การสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 

สำหรับการดำเนินการทั้งหมดนี้โจทย์จะอยู่ภายใต้กรอบรากฐานวินัยการคลังที่ชัดเจนว่า “ไม่กู้เพิ่ม” และ “ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจจนเสียวินัยการคลัง” โดยให้ผลในระยะยาวมากกว่าการแจกเงินชั่วคราว

นอกจากนี้ โครงการที่ทำไปแล้ว คือ เสาหลักที่ 1 คนละครึ่งพลัสเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนกว่า 20 ล้านคน และเสาหลักที่ 2 ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเป็นการแก้หนี้รายย่อย โดยใช้กลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในการเข้าไปบริหารจัดการ และช่วยลดภาระลูกหนี้ให้สามารถออกจากกับดักหนี้ได้ โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11พ.ย.2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เฟสถัดไปสำหรับนโยบายภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คือ การกำลังเข้าสู่เสาหลักที่ 3 ของการทำนโยบายในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นโจทย์เร่งด่วนที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือ โดยหากดูภาพรวมของเอสเอ็มอีในปัจจุบันพบว่ากำลังเผชิญปัญหาหลายด้านจากทั้งความสามารถการแข่งขันที่ปรับลดลง 

รวมถึงผลกระทบจากการเข้ามากระทบจากสินค้าจีน และผลกระทบใหญ่จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งกระทบต่อยอดขาย และการดำเนินธุรกิจให้ปรับลดลง หรือบางรายอาจเผชิญกับผลกระทบลากยาวมาตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 ทำให้ปัจจุบันอยู่ในภาวะ “ซอมบี้” ที่กำลังจะตายในไม่ช้า หากไม่มีการเข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ซ้ำร้ายผลที่เอสเอ็มอีกำลังเผชิญยังมาจาก การเข้าถึงสินเชื่อที่ยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงในด้านธุรกิจ และภาระค่าใช้จ่ายของธุรกิจอยู่ในระดับสูง ทำให้ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อมีต่ำลง จึงไม่แปลกที่ผ่านมาเห็นยอดการอนุมัติสินเชื่อจากระบบธนาคารปรับลดลงต่อเนื่อง 

ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาพรวมสินเชื่อทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ เดือน ต.ค.2568 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 จากการชำระคืนหนี้ที่อยู่ระดับสูง และสินเชื่อที่ติดลบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง

แหล่งข่าว ระบุว่า หลังจากการดำเนินงานโครงการแก้หนี้รายย่อยผ่าน AMC คิกออฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รัฐบาลเตรียมจะผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนต่อทันที ในเสาหลักที่ 3 ประเด็นหลักเป็นการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีโอกาสเข้าถึงสภาพคล่อง และสินเชื่อบนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อลดภาระของธุรกิจเอสเอ็มอี และเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีกลับมาลืมตาอ้าปากในระบบอีกครั้ง

  • ดึงเงินกองทุนฟื้นฟูเฉียด 4 หมื่นล้านช่วย

สำหรับโมเดลในการเข้าไปช่วยเหลือ “เอสเอ็มอี” ครั้งนี้ จะมาจากกำลังทรัพย์จาก “กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน” หรือ FIDF ซึ่งเป็นแหล่งเงินเดียวกันกับโครงการคุณสู้เราช่วย 

ส่วนหลักการในการดำเนินการจะแบ่งเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ออกมาตั้งเป็น “กองกลาง” หรือกระปุกกลาง เพื่อนำเงินครึ่งหนึ่งที่ธนาคารนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ 0.23% จาก 0.46% ใส่มาในกองกลาง เพื่อนำมาใช้สำหรับฟื้นวิกฤติของเอสเอ็มอี และใช้สำหรับโครงการเร่งด่วนเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจในเวลานี้

ทั้งนี้หากดูเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ แต่ละปีจะอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท โดยหากแบ่งออกมาครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกันโครงการคุณสู้เราช่วย จะมีเงินที่สามารถกันมาเป็นกองกลางได้ราว 39,000 ล้านบาท ที่มองว่าสามารถนำก้อนนี้มาใช้ได้ เพราะไม่ใช่เงินภาษีของภาครัฐ ไม่กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของภาครัฐ

แต่อย่างไรก็ตาม การนำเงินก้อนดังกล่าวมาใช้ อีกด้านอาจมีคำถามตามมาได้ เนื่องจากเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟู วัตถุประสงค์หลักคือ การชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่เป็นหนี้มาจากการเข้าไปดูแลสถาบันการเงินจากวิกฤติการเงินปี 2540 

ยืดเวลาปิดบัญชีหนี้กองทุนฟื้นฟู

รวมทั้งหากไม่นำเงินไปชำระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น การชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ อาจต้องกินระยะเวลายาวนานไปอีก จากเดิมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการชำระหนี้ในกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ราว 6 ปี หากนำเงินส่วนนี้ไปใช้ การล้างหนี้ในกองทุนฟื้นฟูฯ อาจต้องกินระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี

สำหรับแนวทางที่มีการพูดในปัจจุบันจะแบ่งเป็น 2 แนวทาง ประกอบด้วย การนำเงินจากเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ ออกมาครึ่งหนึ่งคือ 0.23% จาก 0.46% ส่วนแรกนำไปชำระหนี้เข้ากองทุนฟื้นฟูปกติ และอีกก้อนนำไปใช้ในโครงการรัฐวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีเป็นหลัก 

มองว่าทุกภาคส่วนต้องมีส่วนช่วยกันโดยเฉพาะสถาบันการเงินเพราะวันนี้เอสเอ็มอีจำนวนมาก เข้าไม่ถึงสินเชื่อ แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ดังนั้นหากนำเงินก้อนนี้เข้าไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้ ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อแบงก์ และลูกหนี้ที่เป็นเอสเอ็มอี”

หวังเป็นจุดเชื่อมประคองเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การแก้ปัญหาหนี้ ปัญหาสภาพคล่องผ่านการเข้าไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเยียวยาระยะสั้น แต่เป็น “จุดเชื่อมสำคัญ” ที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ 

ทั้งนี้เอสเอ็มอีถือเป็นฟันเฟืองหลักที่สร้างการจ้างงานกว่า 70% ของแรงงานไทย และมีส่วนสำคัญต่อจีดีพีในสัดส่วนกว่า 35% หากปล่อยให้เอสเอ็มอีจำนวนมากล้มลงพร้อมกัน ผลกระทบจะลุกลามไปทั้งระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น ความจำเป็นในการเข้าไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีจึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “สภาพคล่อง” แต่ยังรวมถึงการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของหนี้เก่าที่กดทับอยู่ ต้องมีการออกแบบมาตรการที่เชื่อมโยงระหว่างการ “ฟื้นสภาพคล่อง” และ “ปรับโครงสร้างหนี้” ให้เกิดผลจริง 

โดยเฉพาะการช่วยให้เอสเอ็มอีที่ยังมีศักยภาพสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ต่อ ไม่ต้องหลุดจากระบบ และสามารถสร้างการเติบโตใหม่ให้เศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว
เตรียมเสนอ ครม.แก้หนี้ครัวเรือน

ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับน่ากังวล โดยเฉพาะกลุ่ม “หนี้รายย่อย” ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งเป็นฐานลูกหนี้ขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มแรงงานนอกระบบ พนักงานรายวัน และผู้มีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งก่อหนี้ผ่านสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต หรือสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ไม่มั่นคง ความสามารถการชำระหนี้ลดลงและกลายเป็น “หนี้เสียขนาดเล็กแต่จำนวนมาก”

ล่าสุดภาครัฐและภาคเอกชนหลายหน่วยงานกำกับผลักดัน “บริษัทบริหารสินทรัพย์เฉพาะกิจ (AMC) สำหรับหนี้รายย่อย” เพื่อดูแลหนี้ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท เพื่อหวังว่า AMC เข้ามาแก้ปัญหาหนี้รายย่อย และหลุดจากกับดักหนี้

เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จัดตั้ง “JV AMC” หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุนรอบใหม่ ดังนั้นหลังจากนี้ AMC จะมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินไทย ซึ่งกระทรวงการคลังมีแผนที่จะเสนอ ครม.ในวันที่ 11 พ.ย.2568

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์