‘กรุงไทย’ จ่อลุย ‘เอเอ็มซี’ ‘ผยง’ หารือพันธมิตรในตลาด มั่นใจกลไกช่วยรายย่อย

“ภาครัฐ และภาคเอกชน” กำลังเร่งผลักดันการจัดตั้ง “บริษัทบริหารสินทรัพย์เฉพาะกิจ” หวังเข้ามาดูแล “หนี้เสียรายย่อย” มูลค่าไม่เกิน “แสนบาท” หวังให้ลูกหนี้สามารถหลุดจาก “กับดักหนี้” ได้จับตา “4 ผู้เล่นในตลาด” ลงสนามแข่งช่วยบริหาร “เอ็นพีแอล” ด้าน “ผยง” เผยกรุงไทยสนใจร่วมทุน AMC หารือผู้เล่นหลักในตลาด หนุนแก้หนี้ต้องแก้ปัญหาจริงจัง ไม่ใช่เพียง “ภารกิจระยะสั้น”
โดยเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ไม่มั่นคง ความสามารถการชำระหนี้ก็ลดลง และกลายเป็น “หนี้เสียขนาดเล็กแต่จำนวนมาก”
ล่าสุดภาครัฐ และภาคเอกชนหลายหน่วยงานกำกับผลักดัน “บริษัทบริหารสินทรัพย์เฉพาะกิจ (AMC) สำหรับหนี้รายย่อย” เพื่อดูแลหนี้ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท เพื่อหวังว่า AMC เข้ามาแก้ปัญหาหนี้รายย่อยและหลุดจากกับดักหนี้
เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จัดตั้ง “JV AMC” หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุนรอบใหม่ ดังนั้นหลังจากนี้ AMC จะมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงินไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า AMC มีอยู่ราว 86 แห่งมีขนาดสินทรัพย์รวม 302,498 ล้านบาท
ซึ่งทั้งขนาดสินทรัพย์ และจำนวน AMC ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากอดีตที่ผ่านมา เช่น ปี 2554 มีสินทรัพย์รวม 162,930 ล้านบาท และมี AMC เพียง 22 แห่ง หรือปี 2564 สินทรัพย์รวม 248,684 ล้านบาท และมี 62 แห่ง
หากดู AMC รายหลักที่ให้บริการปัจจุบัน อาทิ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มีหนี้บริหาร 1.4 แสนล้านบาท หรือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) , บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ที่มีหนี้ภายใต้บริหาร 5 แสนล้านบาท รวมถึง บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ที่ถือเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AMC
- ต้องแก้หนี้จริงจังไม่ใช่ภารกิจระยะสั้น
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยในงานประชุมสัมมนา “Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 AI today Transforming Tomorrow’s Healthcare” กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทย และสมาชิก รวมถึงธนาคารกรุงไทยให้ความสำคัญมากกับการแก้ไขปัญหาหนี้ โดยมองว่าการแก้หนี้ต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แบบเทศกาล
สำหรับปัญหาหนี้มาจากหลายด้าน ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เริ่มต้นตั้งแต่กฎกติกาไม่เท่ากันไปจนถึงการมีข้อมูลไม่เท่ากัน
ดังนั้น มีความจำเป็นในการขับเคลื่อนหลายมาตรการทั้ง Responsible Lending การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดรับชอบ ควบคู่การดูแล Market Conduct และการเปิดให้เข้าสู่ระบบศูนย์ข้อมูลฐานข้อมูลมากขึ้น
“สิ่งที่ต้องทำในการแก้หนี้อีกด้าน คือ แบงก์ต้องไม่กระตุ้นให้ลูกหนี้มีหนี้เกินตัว แต่ปัญหา คือ ปัจจุบันไม่มีฐานข้อมูลที่รอบด้านให้ผู้ให้บริการ และนำไปสู่การที่คนบางกลุ่มฉกฉวยความได้เปรียบภายใต้โครงสร้างที่บิดเบือน และอาจล้าสมัย ดังนั้นการจับมือหลายส่วนงานครั้งนี้ ทั้งกระทรวงการคลัง ธปท.ธนาคารต่างๆ ในการจัดการกับปัญหาเชิงโครงสร้างนี้จริงจัง"
- พุ่งเป้าแก้หนี้กลุ่มเปราะบาง
ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ไม่มุ่งหนี้ประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่มองที่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีหนี้สินเกินศักยภาพ และทำให้พวกเขาถูกล็อกติดกับดัก ดังนั้นทำอย่างไรให้ลูกหนี้สามารถออกมาจากกับดัก
“หลายครั้งเหมือนเสพยาสเตียรอยด์ หรือวิตามิน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทางการเงินเรื้อรังให้ครัวเรือนส่วนใหญ่ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงเน้นดูลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลางเพื่อดูว่าในแต่ละบุคคลมีหนี้อย่างไร และต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างไร ปัญหาคือ ลูกหนี้บางคนติดกับดักมีหนี้สินเกินตัว แต่ไม่เห็นข้อเท็จจริงในข้อมูลที่เพียงพอ ตัวลูกหนี้เองหลายครั้งไม่รู้ตัวว่าสถานการณ์ของตนเองเป็นอย่างไร”
สำหรับความร่วมมือของทุกหน่วยงานจึงเกิดการรวมศูนย์ข้อมูล และ AMC เข้ามาบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องสร้างบูรณาการฐานข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังเร่งขับเคลื่อน
นอกจากนี้ต้องมีข้อมูลทางเลือกที่เป็นตัวบ่งชี้สุขภาพทางการเงิน หรือที่เรียกว่า “อารีย์ สกอร์” ที่ข้อมูลนี้จะเข้ามาเติมเต็ม เพื่อให้คนที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลได้รับการจัดสรรทรัพยากรไปตรงจุดโดยภาครัฐ
“กลไกที่วางไว้ยังคงอยู่บนฐานของการใช้กลไกตลาด ลูกหนี้ที่ติดกับดักจะได้รับโอกาสหลุดจากกับดักได้มากขึ้น เพราะปรับโครงสร้างหนี้ที่รอบด้าน และยืดหยุ่นมาก ซึ่งต้องเหมาะกับลูกหนี้ที่จำเป็นต้องมี ไม่ใช่ใช้ยาขนานเดียวกับทุกคน”
- โอนหนี้ให้ AMC ช่วยลูกหนี้รายย่อย
สำหรับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบันโครงสร้างหนี้เสีย ไม่ได้มีเพียงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และลูกแบงก์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และกลุ่มผู้ให้บริการการเงินแต่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) อีกทั้ง และที่สำคัญยังมีกลุ่มสหกรณ์ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเหล่านี้ ดังนั้น การจัดการต้องดำเนินการแบบเข้าถึงเป็นจุดๆ ไป เพื่อให้เห็นภาพข้อมูลต่างๆ ที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางการบริหารหนี้เสียของกรุงไทย โดยเฉพาะลูกหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท มองว่าเบื้องต้นลูกหนี้กลุ่มนี้จะถูกโอนหนี้ไปที่ SAM เพื่อแก้หนี้ และเป็นกลไกช่วยลูกหนี้ได้มากขึ้น ซึ่งธนาคารมีลูกหนี้ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทพอสมควร
- กรุงไทยเผยสนใจร่วมทุน AMC
ทั้งนี้ ยอมรับว่าสนใจ และที่ผ่านมาหารือกับ AMC รายหลักไปแล้วเพื่อตั้ง JV AMC เข้ามาแก้ปัญหาลูกหนี้ที่เหลือ ภายใต้การคำนึงถึงสภาวะที่ต้องใช้เวลาในการจัดการหนี้ที่นานมากขึ้น แต่การจัดตั้งต้องรอความชัดเจนประกาศหลักเกณฑ์จาก ธปท.ก่อน
“AMC เป็นกลไกในการเข้ามาบริหารจัดการหนี้เสียได้ และเป็นกลไกสนับสนุนการบริหารจัดการให้ดีขึ้น และได้คุยกับผู้ให้บริการหลักในตลาดไปหมดแล้ว เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ และแนวทางดำเนินงาน"
สำหรับการตั้ง JV AMC ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการหนี้ในระบบให้มีประสิทธิภาพขึ้น ส่วนกรณีลูกหนี้ไร้หลักประกันที่อยู่ในระบบ โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่มีหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาทกลุ่มนี้จะถูกส่งต่อให้ SAM ดูแลตามกระบวนการที่มีอยู่ และหากเกณฑ์จาก ธปท.ออกมาชัดเจนแล้วเราค่อยกลับมาพิจารณาในการจัดตั้ง JV AMC”
- ยืนยันไม่รีบซื้อหุ้นคืน
ส่วนโครงการซื้อหุ้นคืน ในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีผ่านระบบการประชุม AGM อนุมัติในหลักการทำให้ธนาคารมีกรอบดำเนินงานหากเห็นว่าเหมาะสมในอนาคต ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือด้านการบริหารจัดการเงินทุนที่ผู้ถือหุ้นเห็นชอบไว้ล่วงหน้า
“ธนาคารไม่รู้สึกตื่นตัวหรือเร่งรีบในการใช้มาตรการซื้อหุ้นคืน เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงินมีบริบทและกลยุทธ์ต่างกัน พร้อมยืนยันว่ากรุงไทยจะพิจารณาทางเลือกเหมาะสมสุด และให้ประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ โดยดูความพร้อม และความสอดคล้องกับสภาวะตลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจดำเนินการ”
สำหรับประเด็นการจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นผลจากธนาคารให้ความสำคัญการบริหารเงินกองทุน (Capital Management) โดยปัจจุบันธนาคารมีระดับเงินกองทุนขั้นที่หนึ่ง (CET1) ระดับสูง และได้รับเสียงสะท้อนจากนักลงทุนว่าควรให้ความสำคัญกับการบริหารเงินกองทุนเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว
ทั้งนี้ธนาคารให้ความสำคัญกับนักลงทุนระยะยาวเป็นหลัก โดยมุ่งสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเสริมความสามารถในการรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต การตัดสินใจด้านนโยบายเงินปันผลจึงอยู่บนพื้นฐานการรักษาสมดุลระหว่างการตอบแทนผู้ถือหุ้น
ส่วนแผนเพิ่มผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 10% เป็นสิ่งที่แบงก์ดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะหารายได้เพิ่มจากธุรกิจที่ไม่ได้มาจากการปล่อยสินเชื่อ และเน้นให้หารายได้จากธุรกิจอื่น เช่น ค่าธรรมเนียม ส่วนภาพรวมสินเชื่อยอมรับอยู่ภาวะชะลอตัว ดังนั้น เป็นสิ่งที่ธนาคารหลีกเลี่ยงไม่ได้หากเศรษฐกิจไทยไม่เติบโต การเติบโตสินเชื่อธนาคารจะอยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง
- ห่วงเศรษฐกิจโตช้า 5 ปีรั้งท้ายภูมิภาค
นายผยง กล่าวว่า IMF ระบุว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบประเทศคู่แข่ง และถ้าอัตราการเติบโตเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 5 ปี ไทยอาจกลายเป็นประเทศที่เติบโตต่ำสุดในภูมิภาค
ขณะที่ข้อมูลของธนาคารโลกชี้ว่าไทยมีสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบ 48% ของจีดีพี อีกทั้งแรงงาน 53% เป็นแรงงานในเศรษฐกิจนอกระบบ
นอกจากนี้ ในจำนวนประชากร 68 ล้านคน มีเพียง 11% ที่ยื่นรายการภาษี และมีเพียง 4 ล้านคนที่จ่ายภาษีให้รัฐ ซึ่งสรุปปัญหาความท้าทายของไทย 5 ด้าน ได้แก่
1.รายได้ต่อหัวประชากรต่ำ 2.ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำสูง 3.การกำกับดูแล และการบริหารจัดการกฎระเบียบภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ 4.ประสิทธิภาพทางการผลิตต่ำ และการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนเชื่องช้า 5.มีความยืดหยุ่นพร้อมรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้ ขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ และพฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลง แต่ไทยกลับไม่มีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ดีพอสำหรับ “ภาวะช็อกทางเศรษฐกิจ” ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







