BAM เตือนวิกฤติ 'หนี้รายย่อย' ฉุด ศก.ไทยป่วยซึมลึก-เรื้อรัง

“ดร.รักษ์” ฉายภาพสถานการณ์ “หนี้” ของไทยอยู่ในจุด “น่าห่วง” ชี้วิกฤติหนี้กำลัง “ซึมลึก” สู่ทุกระดับ ทุกระบบของ “เศรษฐกิจไทย” แม้ไม่วิกฤติเท่าปี 40 แต่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับอาการป่วยซึมลึก “เรื้อรัง”
KEY
POINTS
- 'ดร.รักษ์' BAM ชี้วิกฤติหนี้ปัจจุบันเป็นเหมือน "โรคป่วยเรื้อรัง" ที่หนี้กระจายตัวในระดับครัวเรือนและรายย่อย
- ต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่หนี้กระจุกตัวในธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันวิกฤติมาจากฐานราก
- แม้สัดส่วนหนี้เสียไม่สูงเท่าในอดีต แต่จำนวนลูกหนี้รายย่อยมีมหาศาลเป็นหลักล้านราย ทำให้เกิดภาวะ "ซอมบี้ทางเศรษฐกิจ"
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากปัญหา “หนี้” จาก “วิกฤติหนี้ของรายย่อย” ที่กำลังขยายตัวในวงกว้าง จนกลายเป็นแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม จากปัญหาหนี้ กระจายอยู่ในทุกระดับของสังคม ทั้งแรงงาน ผู้ประกอบการรายย่อย รายย่อย
ซึ่งต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่ปัญหาหนี้กระจุกอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงิน ปัจจุบันวิกฤติหนี้แทรกซึมอยู่ในครัวเรือนทั่วไป ที่กัดกินกำลังซื้อ ความมั่นใจ และศักยภาพของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด “ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ให้สัมภาษณ์รายการ DEEP Talk กรุงเทพธุรกิจ โดยได้ฉายภาพสถานการณ์หนี้ของไทยขณะนี้ว่า
“แม้สถานการณ์หนี้ไทยวันนี้อาจไม่ใช่วิกฤติฉับพลันแบบต้มยำกุ้ง แต่คือความป่วยเรื้อรังที่ค่อยๆ ลามทั่วระบบเศรษฐกิจ”
ดร.รักษ์ มองว่า เปรียบสภาพหนี้ไทยในปัจจุบันเหมือน “เซลล์ป่วย” ที่กระจายทั่วร่างกายของเศรษฐกิจ ไม่ได้อยู่เพียงยอดพีระมิดเหมือนในอดีต แต่ซึมลึกลงไปถึงฐานรากตั้งแต่ธุรกิจรายใหญ่ เอสเอ็มอี ไปจนถึงครัวเรือน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลกว่าวิกฤติในอดีตอย่างมาก
หากถามว่าสถานการณ์หนี้ในระบบของไทยวันนี้มาจากสองส่วนใหญ่ จากภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี มีกองหนี้ประมาณ 18.4–18.5 ล้านล้านบาท และจากภาคครัวเรือน มีกองหนี้ประมาณ 16.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อ
รวมกันแล้ว มูลค่าหนี้ทั้งประเทศสูงกว่าขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ถึง กว่า 2 เท่า แปลว่าโครงสร้างของเราต้องก่อหนี้ 2 เท่า เพื่อสร้างรายได้เพียง 1 เท่า
แม้หลายประเทศทั่วโลกก็อยู่ในภาวะคล้ายกัน บางประเทศมีหนี้สูงถึง 3-5 เท่าของจีดีพี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ไทยกำลังเติบโตโดยพึ่งพา ‘วิตามินของหนี้’ มากเกินไป เศรษฐกิจไทยในระยะหลังขับเคลื่อนด้วยการสร้างหนี้เพื่อให้เกิดรายได้ ไม่ผิดหากหนี้เหล่านั้นเป็น “หนี้ดี” ที่สร้างผลตอบแทนได้จริง แต่ปัญหาคือ สัดส่วนของหนี้ดีต่อหนี้เสียกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่น่าห่วง
ฐานล่างพีระมิดกำลังล่มจากหนี้
อย่างไรก็ตาม หากเทียบสถานการณ์หนี้ในปัจจุบันกับวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 มองว่าต่างกันสิ้นเชิง อดีตหนี้เสียสูงถึง 38-41% หนี้ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใน “ยอดพีระมิด” คือในมือของธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการรายหลัก หรือองค์กรที่มีวงเงินกู้มหาศาล
ดังนั้นแม้ระบบจะเจ็บหนัก แต่ยัง “รักษาได้” เพราะปัญหาอยู่ในกลุ่มจำกัด ธุรกิจเมื่อเข้าสู่การปรับโครงสร้างก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตเริ่มธุรกิจใหม่ได้
แต่ในวันนี้ แม้สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) รวมกับหนี้เสี่ยง (Special Mention: SM) จะอยู่เพียง 10% ไม่สูงเมื่อเทียบกับอดีต แต่กลับน่ากลัวกว่าเพราะ “จำนวนราย” ของลูกหนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล
“ตอนต้มยำกุ้งอาจมีไม่กี่รายที่ล้ม แต่วันนี้คนเป็นหลักแสนหลักล้านราย ตัวเล็กตัวน้อยที่ล้มพร้อมกัน และเมื่อหนี้เสียกระจายไปทั่วทั้งระบบ ทั้งภาคธุรกิจรายย่อย SME และครัวเรือน จึงทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบางในระดับรากฐาน เหล่านี้คือ “ความเจ็บป่วยแบบซึมยาว” ต่างจากต้มยำกุ้งที่เป็น “ผู้ป่วยวิกฤติ” วันนั้นป่วยหนัก แต่ตัดอวัยวะบางส่วนก็รักษาได้ แต่วันนี้เราป่วยแบบซึมลึก เซลล์ที่ไม่ดีมันกระจายไปทั่วร่างกาย ทุกระบบตั้งแต่บริษัทใหญ่จนถึงบ้านเรือน”
หากย้อนมาดูไส้ในของหนี้ พบว่าหนี้เสียที่มากธุรกิจ และเอสเอ็มอี ที่อยู่ในระบบปัจจุบัน เป็นหนี้จากธนาคารพาณิชย์อยู่ประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท จากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐมีอีกกว่า 3 แสนล้านบาท และยังมีส่วนหนี้ที่ยัง “แขวนอยู่” หรืออยู่ในสถานะ SM มีราว 1.2 ล้านล้านบาท รวมกันแล้วอยู่ที่ ประมาณ 2 ล้านล้านบาท เฉพาะกลุ่มธุรกิจ
ส่วน ภาคครัวเรือน มีหนี้เสีย และหนี้เสี่ยงรวมกันราว 7 แสนกว่าล้านบาท รวมกันแปลว่าปัจจุบัน ระบเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับมวลหนี้รวมกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเรียกว่าเป็น “มวลน้ำ” ขนาดใหญ่ที่กำลังไหลบ่ามา เพราะหากหนี้ 3 ล้านล้านบาทส่วนนี้ บริหารจัดการไม่ดี สุดท้ายก็อาจกลับมาท่วมทั้งระบบเศรษฐกิจได้
หนี้ครัวเรือนจุดเปราะบาง-ป่วยเรื้อรัง
ดร.รักษ์ กล่าวว่า น่าห่วงที่สุดในปัจจุบันคือ “หนี้ครัวเรือน” เพราะหนี้ครัวเรือนมีทั้งจำนวนมากและมูลค่าต่อรายน้อย แต่ซับซ้อนในการแก้ไขมาก การจัดการหนี้รายย่อยจำนวนมหาศาลนี้จึงเป็นภารกิจที่หนักที่สุด และต้องการระบบบริหารจัดการที่ละเอียดกว่าหนี้ขนาดใหญ่
ทั้งนี้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะ “ป่วยเรื้อรัง” ต่างจากต้มยำกุ้งคือ ผู้ป่วยภาวะวิกฤติ ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยแบบนี้ไม่อาจพึ่งหมอคนเดียวได้ ต้องใช้ความร่วมมือจาก “หมอใหญ่” อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และ “บุรุษพยาบาล” อย่าง AMC มาร่วมกันวางแผนฟื้นฟูระบบ
สิ่งสำคัญคือ การไม่สร้างเครื่องมือใหม่โดยไม่จำเป็น แต่ปรับเครื่องมือเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องหาทางเร่งแรงม้าให้เครื่องยนต์เดิม เพื่อให้ AMC และสถาบันการเงินทำงานได้เร็วขึ้น เข้าถึงลูกหนี้ได้มากขึ้น และฟื้นฟูได้จริง
ทั้งนี้มองว่าวันนี้แม้ “เราอาจยังไม่ป่วยหนัก แต่เรากำลังป่วยแบบซึมลึก” ถ้าไม่เริ่มรักษาแต่วันนี้ วันหนึ่งโรคเรื้อรังนี้จะกลายเป็นวิกฤติจริงๆ และภาวะเปราะบางเรื้อรัง กำลังกัดกินฐานรากของประเทศ จำนวนหนี้เสียรวมไม่สูงเท่าอดีต แต่การที่มันกระจายอยู่ในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะครัวเรือน และเอสเอ็มอี คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่อันตรายยิ่งกว่า ที่ปัญหา “หนี้” ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งแก้ เพราะหากฐานรากถล่มลงมา เศรษฐกิจทั้งระบบจะพังตาม
คนไทยทุกกลุ่มกำลังเป็น “ซอมบี้”
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์หนี้ของไทยวันนี้เสมือน “วิกฤติซอมบี้” หากไม่ทำอะไร ประเทศจะเป็น “เมืองผีดิบเศรษฐกิจ” ประเทศไทยก็จะเต็มไปด้วยซอมบี้ ทั้งซอมบี้รายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่
โดย “ซอมบี้รายเล็ก” คือ หนี้ครัวเรือนของประชาชนทั่วไป พ่อค้า แม่ค้า แรงงานอิสระ ที่ทำมาหากินแต่ไม่หลุดพ้นจากภาระหนี้ “ซอมบี้รายกลาง” คือ SME ที่ยังคงเดินกิจการอยู่ แต่รายได้ทั้งหมดกลับหมดไปกับการใช้หนี้ และ “ซอมบี้รายใหญ่” คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่ข้างหลังกลับเปราะบาง ไม่สามารถพาธุรกิจ และผู้ถือหุ้นผ่านพ้นวิกฤติได้
ดังนั้น ภายใต้ประเทศที่เต็มไปด้วยซอมบี้ จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้ การจะหวังว่าจีดีพีในอนาคตจะเติบโต 2% ยังมองว่าเป็นไปได้ยากลำบาก แม้แต่ 1% ยังถือว่ายาก หากไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ได้
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของไทยลดลงจากช่วงโควิดที่สูงถึง 93-94% เหลือประมาณ 86% ในปัจจุบันแต่ยังไม่อาจวางใจได้ เพราะหากดูค่าเฉลี่ยของหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในอาเซียน +3 อยู่แค่ประมาณ 63-70% แต่ของไทยยังสูงกว่าเกือบ 20% ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนว่าโครงสร้างหนี้ของประชาชนไทยยังอยู่ในระดับเสี่ยง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นทั้งคู่ค้า และคู่แข่งทางเศรษฐกิจ
ยิ่งไปกว่านั้นหากดูมิติของการก่อหนี้จากอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ หรือ Debt to Income ที่ลูกหนี้ไม่ควรมีภาระหนี้เกิน 70% ของรายได้ แต่เมื่อขยายมองในระดับประเทศ กลับพบว่าอัตราหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 86-87% แปลว่าคนไทยโดยเฉลี่ยเป็นหนี้เกินศักยภาพการชำระหนี้ของตนเอง
พีระมิดกลาง-ท้ายอ่อนแรง
สำหรับ “กลางพีระมิด” ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่วันนี้มีจุดที่มีความซับซ้อนมาก เพราะเผชิญทั้งภาระหนี้ และข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาด ขณะที่ “ฐานราก” ก็ยังคงมีปัญหาความเปราะบางทางการเงินหลายคนกล้าเป็นหนี้ ทั้งที่รายได้ไม่เพียงพอต่อการชำระคืน
ทั้งนี้ หากดูภาพสินเชื่อในระบบเกือบทุกกลุ่มกำลังลดลง สวนทางกับสินเชื่อที่ยังเติบโตอยู่คือ ของกลุ่ม Big Corporate ซึ่งยังโตได้ราว 2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สะท้อนว่า สถาบันการเงินทั้งรัฐ และเอกชนกว่า 30 แห่ง ต่างมุ่งโฟกัสไปที่ลูกค้ากลุ่มเดียวกัน คือ “ยอดพีระมิด” หรือกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีหนี้เสียต่ำ และยังคงเติบโตได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
“ความสวยงามของเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ยอดพีระมิดโตได้ แต่ต้องมีแรงส่งที่ไหลลงมาถึงกลางพีระมิด และฐานรากด้วย หมายความว่า บริษัทใหญ่ควรมีส่วนในการสร้างการซื้อขายหรือทำธุรกรรมกับกลุ่มเอสเอ็มอีภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในทุกระดับ ไม่ใช่เพียงการเติบโตเฉพาะส่วนบนของระบบ เพราะถ้ายอดพีระมิดไปได้ แต่กลางกับฐานไม่แข็งแรง สุดท้ายยอดก็จะล้มลงมา เพราะระบบมันเชื่อมถึงกัน”
AMC ติดเทอร์โบรับ “มวลหนี้มหาศาล”
หากดูการบริหารจัดการหนี้ในปัจจุบันพบว่า AMC มีบทบาทในการเข้าไปจัดการหนี้เสียปีละ 3-5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น จากกองหนี้ที่ขายออกปีละ 7 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท และยิ่งเจอความท้าทายหนักจากจำนวนบัญชีที่ต้องจัดการเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านราย ทำให้การบริหารจัดการยากมากหากเทียบกับอดีต
ดังนั้น วันนี้ AMC ต้องปรับสายพานในโรงงานของตัวเองเปลี่ยนระบบบริหารจากการดูแลหนี้ขนาดใหญ่ไม่กี่ราย เป็นระบบที่รองรับลูกค้าจำนวนมหาศาลพร้อมกัน และยังต้องแยก “สายพาน” ออกเป็น 3 ประเภท
ได้แก่ 1. หนี้ครัวเรือนขนาดเล็ก ต่ำกว่าแสนบาท 2. หนี้ของ SME รายย่อย 3. หนี้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเข้าไปจับเซลล์ของหนี้เสียที่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของเศรษฐกิจไทยได้
ทั้งนี้ หากดู AMC ในตลาดประมาณเกือบ 90 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีบทบาทเข้ามาร่วม “ช่วยกันจัดการ” หนี้ในระบบ เพราะเพียงหน่วยงานภาครัฐหรือ AMC ขนาดใหญ่ไม่สามารถรับภาระทั้งหมดได้ ซึ่ง
ปัจจุบันเรามีลูกค้าที่เป็นหนี้เสียอยู่ประมาณ 4 ล้านบัญชี แต่มี Bad Banker แค่ 90 แห่ง ดังนั้น แต่ละแห่งต้องรับมือกับลูกค้าจำนวนมากกว่าที่เคย
“วันนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หนี้เสียมีจำนวนรายย่อยมากขึ้น มูลหนี้ต่อรายเล็กลง และกระจายทั่วระบบ ดังนั้นการจัดการหนี้ในยุคนี้ต้องปรับวิธีคิดของ AMC ใหม่ทั้งหมด วันนี้ AMC ไม่ใช่แค่ Bad Bank ที่อยู่ลำพังอีกต่อไป ต้องใช้หลายแห่ง ทำงานร่วมกัน และบางส่วนต้องเป็นรูปแบบ JV AMC เพราะวันนี้ “เครื่องยนต์เดิม” ของระบบบริหารหนี้ยังใช้ได้ แต่ต้อง ติดเทอร์โบ เพื่อรองรับแรงดันของมวลหนี้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาล”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







