ทำไมธุรกิจขายดี ถึงเสี่ยงโดนภาษีย้อนหลัง?

ทำธุรกิจสุดปัง มีรายได้เพิ่ม แต่หากภาษีที่เสียไม่สอดคล้อง อาจกลายเป็นเหตุผลให้สรรพากรเริ่มเข้ามาตรวจสอบ และเสี่ยงโดนภาษีย้อนหลัง ผู้ประกอบการควรทำอย่างไร
ในโลกของการทำธุรกิจ การที่ยอดขายพุ่งสูงขึ้นถือเป็นความสำเร็จที่เจ้าของกิจการทุกคนใฝ่ฝัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง "ยอดขายที่โตเร็วเกินไป" กลับอาจกลายเป็นปัญหาที่ดึงดูดสายตาของกรมสรรพากรโดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจสงสัยว่า เหตุใดยิ่งขายดีกลับยิ่งเสี่ยงโดนตรวจสอบภาษีย้อนหลัง
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าเบื้องหลังของความเสี่ยงนั้นคืออะไร และเจ้าของธุรกิจควรจัดการอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องดีๆ กลายเป็นเรื่องปวดหัวในอนาคต
ยอดขายสูง = ความสนใจจากสรรพากร
เมื่อธุรกิจมียอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลรายได้ที่ปรากฏในระบบจะถูกเชื่อมโยงกับหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคาร กรมสรรพากร หรือแม้แต่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีระบบแจ้งรายได้อัตโนมัติ ตัวเลขที่สูงขึ้นผิดปกติเมื่อเทียบกับปีก่อน อาจถูกตีความว่าเจ้าของกิจการ "มีรายได้เพิ่ม แต่ภาษีที่เสียกลับไม่สอดคล้อง" ตรงนี้เองที่กลายเป็นเหตุผลให้สรรพากรเริ่มเข้ามาตรวจสอบ
ปัญหายอดฮิตที่ทำให้โดนภาษีย้อนหลัง
1. รายได้ไม่ตรงกับบัญชี ธุรกิจบางแห่งมียอดโอนเข้าบัญชีจำนวนมาก แต่ยอดที่นำไปยื่นภาษีกลับต่ำกว่าความจริง หากสรรพากรตรวจสอบย้อนหลัง จะพบความแตกต่างชัดเจนทันที
2. ออกเอกสารไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะธุรกิจที่ขายออนไลน์ มักไม่ออกใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จที่ถูกต้อง ทำให้รายได้บางส่วน "หายไปจากระบบ" ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ที่เสี่ยงถูกประเมินภาษีย้อนหลัง
3. ค่าใช้จ่ายที่ไม่มีหลักฐานรองรับ ธุรกิจที่พยายามลดภาษีด้วยการบันทึกค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง แต่ไม่มีเอกสารยืนยัน เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือสัญญา หากถูกตรวจสอบก็จะถูกตัดค่าใช้จ่ายออก ส่งผลให้ต้องเสียภาษีเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับ
4. การโอนเงินหลายบัญชีเพื่อเลี่ยงตรวจสอบ เจ้าของธุรกิจบางรายใช้วิธีแบ่งยอดขายเข้าหลายบัญชีเพื่อให้ดูเหมือนรายได้น้อยลง แต่ปัจจุบันธนาคารและสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้หมด วิธีนี้จึงยิ่งเสี่ยงมากกว่าเดิม
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
สมมติว่า ร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่งเริ่มต้นจากการขายเสื้อผ้าเล็กๆ รายได้ปีแรกเพียงหลักแสน แต่พอผ่านไปสองปี ยอดขายพุ่งแตะหลักสิบล้าน ขณะที่ภาษีที่ยื่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก กรมสรรพากรย่อมสงสัยว่า “รายได้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลหายไปไหน?” การตรวจสอบย้อนหลังจึงเกิดขึ้น
และเมื่อพบว่ามีรายได้บางส่วนไม่ถูกนำมาคำนวณภาษี เจ้าของร้านจึงต้องชำระภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งอาจสูงจนกระทบสภาพคล่องทางการเงิน
กฎหมายภาษีเปิดโอกาสให้ตรวจย้อนหลัง
สิ่งที่ผู้ประกอบการหลายคนไม่รู้คือ กรมสรรพากรมีสิทธิ์ตรวจสอบภาษีย้อนหลังได้หลายปี หากพบความผิดปกติ เช่น รายได้ไม่ตรงกับบัญชีธนาคาร หรือมีการยื่นเอกสารเท็จ ยิ่งทำให้ถูกตรวจเข้มเป็นพิเศษ การประเมินภาษีย้อนหลังไม่ได้มีแค่จำนวนเงินที่ยังไม่ได้ชำระ แต่ยังรวมถึงค่าปรับและเบี้ยเพิ่ม ซึ่งบางครั้งรวมแล้วอาจสูงกว่าเงินต้นที่ค้างเสียภาษีหลายเท่า
ทำอย่างไรให้ขายดีโดยไม่เสี่ยงภาษีย้อนหลัง
1. จัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ เก็บข้อมูลรายได้และค่าใช้ จ่ายให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการโอนเงิน
2. ยื่นภาษีให้สอดคล้องกับรายได้จริง หากรายได้โตขึ้น ก็ควรยื่นภาษีให้เหมาะสม อย่าพยายามเลี่ยงด้วยการปกปิดยอดขาย เพราะสุดท้ายแล้วข้อมูลต่างๆ ก็สามารถตรวจสอบได้
3. ใช้บริการนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีที่เชื่อถือได้ การมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลจะช่วยให้การวางแผนภาษีถูกต้องและลดความเสี่ยงการโดนตรวจสอบ
4. วางแผนภาษีล่วงหน้า หากรู้ว่าธุรกิจกำลังขยายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีจัดการภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายที่กว้างขึ้น
สรุป ความจริงแล้วการที่ธุรกิจขายดีไม่ใช่ปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือการจัดการภาษีที่ไม่สอดคล้องกับรายได้จริง การพยายามเลี่ยงหรือลดภาษีด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งทำให้เสี่ยงถูกตรวจสอบย้อนหลังและอาจต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่โดยไม่จำเป็น ดังนั้นเจ้าของกิจการควรยอมรับความจริงว่าภาษีเป็นภาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถวางแผนได้อย่างชาญฉลาด หากทำบัญชีอย่างเป็นระบบ ยื่นภาษีตรงไปตรงมา และมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ความสำเร็จจากการขายดีก็จะกลายเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจโดยไม่ต้องกังวลกับภาษีย้อนหลัง
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting







