สกัดข้อครหา ‘บิดเบือนค่าเงิน’ ‘ธปท.-สหรัฐ‘ ออกแถลงการร่วม หวั่นทุนสำรองสูง ‘ถูกจับตาหนัก‘

“ธปท.-สหรัฐ” เดินหน้าร่วมมือความโปร่งใส “ไม่บิดเบือนค่าเงินบาท” เพื่อให้ได้เปรียบทางการค้า ด้านบาทแข็งค่าตามแรงดอลลาร์อ่อน ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดเฉียด 3 แสนล้านดอลลาร์ “นักเศรษฐศาสตร์” ชี้การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากแรงภายนอก
KEY
POINTS
- ธปท. -สหรัฐ ออกแถลงการณ์ร่วม ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
- ไทยยังไม่ถูกจัดเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน เนื่องจากเข้าเกณฑ์ของสหรัฐฯ เพียง 1 ใน 3 ข้อ คือการเกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐฯ
- ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค 12% เทียบกับปีก่อน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะถูกสหรัฐฯ จับตาอย่างใกล้ชิด
- การออกแถลงการณ์ร่วมเป็นการสร้างความโปร่งใสและยืนยันว่า ธปท. จะเข้าดูแลค่าเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความได้เปรียบทางการค้า
พร้อมย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะไม่เข้าไปบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธปท.เปิดเผยว่า ทางการสหรัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้ามาระยะหนึ่งแล้ว และได้มีการประเมินผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ
เช่น ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเคยถูกจัดอยู่ใน monitoring list ในช่วงปี 2020-2021
ดังนั้น จึงได้ใช้โอกาสที่มีการเจรจาการค้าในการให้ทั้ง 2 ประเทศเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผ่านการออก statement สู่สาธารณะ (เช่นเดียวกับที่ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ได้ออกมาก่อนหน้านี้)
จากเดิมที่เป็นการหารือทวิภาคีเป็นการภายในระหว่างกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กับธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลังของประเทศคู่ค้า โดย ธปท.ยังสามารถดำเนินนโยบายเพื่อวัตถุประสงค์ในการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนได้เช่นเดิม
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กรณีที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะออกรายงานชื่อ “Macro and Foreign Exchange Policy” เพื่อติดตามพฤติกรรมด้านอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสำคัญ และประเมินว่าประเทศใดอาจมีพฤติกรรม “บิดเบือนค่าเงิน” เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า
โดยสหรัฐใช้เกณฑ์ 3 ข้อในการประเมิน โดยประเทศไทยถือว่ายังไม่ถูกจัดว่าอยู่ในประเทศที่บิดเบือนค่าเงินบาทเพื่อให้ได้เปรียบทางการค้าหรือการแข่งขันในตลาดโลก
- ไทยติด 1 ในเงื่อนไง “บิดเบือนค่าเงิน”
ทั้งนี้หากดูเงื่อนไข 3 ข้อของสหรัฐที่เป็นเกณฑ์วัดการบิดเบือนค่าเงินบาทคือ
1.การเข้าแทรกแซงตลาดเงิน (FX Intervention) โดยต้องเป็นการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนสุทธิต่อเนื่องในรอบ 8 เดือนจาก 12 เดือน โดยข้อนี้จากรายงานเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา มีเพียงสิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ที่เข้าข่ายเงื่อนไขนี้ โดยสิงคโปร์ถูกระบุว่ามีการซื้อเงินตราต่างประเทศต่อเนื่องถึง 8 เดือนในช่วงปีที่ผ่านมา
2.การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Surplus) หากประเทศใดมีเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า 3% ของ GDP จะถูกพิจารณาเข้าเกณฑ์ข้อนี้ ซึ่งหลายประเทศในเอเชียยังคงมีเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง แต่ประเทศไทย “ไม่ติดเงื่อนไขนี้” เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอยู่ในระดับที่สมดุลมากขึ้น
3.การเกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐฯ (Trade Surplus with the US) หากมูลค่าการเกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐเกินกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ จะถือว่าเข้าเกณฑ์ ซึ่งข้อนี้ “ประเทศไทยเข้าเงื่อนไขข้อนี้”
โดยในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ไทยมีการเกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐ ประมาณ 45,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามในอดีตไทยเคยอยู่ใน Monitoring List หรือรายชื่อประเทศที่สหรัฐ จับตาอย่างใกล้ชิด แต่ในปัจจุบันประเทศไทยไม่อยู่ในลิสต์ดังกล่าว และไม่เคยถูกระบุว่าเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินเนื่องจากไม่เข้าเกณฑ์ครบทั้ง 3 ข้อ
รวมทั้งหากดูจากรายงานสหรัฐในเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า ไม่มีประเทศใดถูกระบุว่า “บิดเบือนค่าเงิน” มีเพียง 2 ประเทศที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด คือ สิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ โดยประเทศไทยเข้าเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือ การเกินดุลการค้าและบริการกับสหรัฐ
นอกจากนี้ การที่ไทยไม่อยู่ในลิสต์และไม่ถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนค่าเงิน สะท้อนถึงความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทยที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามบทบาทของ ธปท.ที่ดำเนินการมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดย ธปท.มีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท
ทั้งนี้ การเข้าดูแลในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจะทำเฉพาะเมื่อมีความผันผวนสูงเพื่อรักษาความเรียบร้อยของตลาด ไม่ได้หวังเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า ดังนั้นการแทรกแซงที่เกิดขึ้นบางช่วงจึงเป็นไปตามหลักการของธนาคารกลางทั่วโลก
- เงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่า
สำหรับสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ปัจจัยหลักไม่ได้มาจากการดำเนินนโยบายของไทย แต่เกิดจากแรงกดดันภายนอก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินในภูมิภาคจาก 2 ประเด็น คือ
1.การคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด (Fed) และนักลงทุนในตลาดโลกคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ ส่งผลให้เกิดแรงขายดอลลาร์ทั่วโลก ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงและสกุลเงินตลาดเกิดใหม่รวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น
2.ข่าวเชิงบวกด้านการค้าโลกที่มีสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงสหรัฐกับญี่ปุ่นที่ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกต่อค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย
3.อิทธิพลจากเงินหยวนของจีน เมื่อค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นมักจะส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นผลจากหลายปัจจัยผสมผสานกันและไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการบิดเบือนค่าเงินแต่อย่างใด
- ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยทำนิวไฮ
ในประเด็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ปัจจุบันทุนสำรองของไทยอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17 ต.ค.ระบุว่า “ทุนสำรองสุทธิ (Net International Reserves)” อยู่ที่ 298,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.98 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งต่อเนื่องหากเทียบกับอดีต และเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะหากดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2563–2567) ทุนสำรองของไทยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละราว 3,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะไม่ได้เพิ่มขึ้นทุกปี แต่แนวโน้มโดยรวมอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของทุนสำรองไม่ได้มาจากการแทรกแซงค่าเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยด้าน การตีมูลค่าทรัพย์สิน (Valuation) เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การปรับขึ้นของราคาทองคำ หรือการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลหลัก ซึ่งเมื่อแปลงกลับเป็นดอลลาร์สหรัฐ ก็ทำให้มูลค่าทุนสำรองโดยรวมเพิ่มขึ้น
ทองคำในทุนสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อีกหนึ่งประเด็นที่กาญจนาชี้ให้เห็นคือ “สัดส่วนทองคำในทุนสำรอง” ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง ปี 2564 อยู่เพียง 5.1% ,ปี 2565 อยู่ที่ 5.8% ,ปี 2566 อยู่ที่ 6.4% ,ปี 2567 อยู่ที่ 7.5% และล่าสุด ปี 2568 อยู่ที่ 10.7%
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าทองคำมีบทบาทมากขึ้นในพอร์ตทุนสำรองของไทย ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าในภาวะที่ตลาดการเงินผันผวน แต่ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของทุนสำรองไม่ได้มาจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การถือทองคำมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามหากดูองค์ประกอบของทุนสำรอง มีทั้ง“สินทรัพย์ต่างประเทศ” เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศหลัก หรือและในสกุลเงินที่เป็นทุนสำรองสำคัญ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน และปอนด์ ทองคำเป็นต้น
- แนะ ธปท.เพิ่มสื่อสารต่อสาธารณะ
นายสงวน จุงสกุล ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจสายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นข้อตกลงทวิภาคี ซึ่งหลักการเบื้องต้นของข้อตกลงนี้ถือว่าสอดคล้องกับหลักการที่มีอยู่แล้วของ IMF
โดยเน้นว่าจะไม่แทรกแซงค่าเงินเพื่อสนับสนุนการค้าที่ไม่เป็นธรรมและหากจะมีการแทรกแซงก็ควรจำกัดไว้เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงินเท่านั้น โดยไม่ทำให้เกิดการสนับสนุนการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ ความกังวลที่สำคัญที่สุดจากเรื่องนี้ คือ การสื่อสารของ
ธปท.เนื่องจากข้อตกลงนี้เป็นแบบทวิภาคี และ ธปท.ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคู่สัญญาอาจต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากสาธารณะเพื่อให้ตลาดเข้าใจว่าความหมายของข้อตกลงนี้ เพื่อยืนยันว่าข้อตกลงนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากเกณฑ์ 3 ข้อเดิมที่สหรัฐมีอยู่แล้ว
“การสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยให้ตลาดการเงินสบายใจและมั่นใจ เนื่องจากตลาดมีความกังวล จากในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นประเทศในภูมิภาคนี้ที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ (Reserve) เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบปีต่อปี”
ดังนั้น การตีความการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเป็นสิ่งที่น่ากังวลในแง่ของการถูกจับตามอง อีกทั้งในปัจจุบันทุนสำรองมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก และการที่ทุนสำรองเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นปัจจัยหลักคือ Valuation
ที่เกิดจากการปรับขึ้นหรือลดลงของ Portfolio สินทรัพย์ที่อยู่ในทุนสำรองนั้น การแทรกแซงจริง ๆ อาจเป็นส่วนน้อยเท่านั้น “การที่ทุนสำรองของไทยเพิ่มขึ้น 12% นั้นอาจจะเกิดจากไส้ในของ Reserve เรา Perform กล่าวคือ ราคาของสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอ เช่น ทองคำ 10%, สกุลเงินอื่น ๆ ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ มีมูลค่าสูงขึ้น ทำให้มูลค่ารวมของทุนสำรองเพิ่มขึ้น”
สำหรับทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน ในระยะสั้น กรอบอัตราแลกเปลี่ยนที่มองไว้คือ 32-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 5% นับตั้งแต่ต้นปี
ชี้ 3 ปัจจัยหนุนเงินบาทแข็งค่า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐ ติดตามข้อมูลในลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว
ส่วนแบงก์ชาติ เข้ามาดูแลตาม watching list อยู่แล้ว ทั้งสองขาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงนี้ เป็นการทยอยมาก่อนหน้า จากปัจจัยหลัก คือ
1.แรงขายทองจากผู้เล่นในตลาด หลังจากที่ ราคาทองคำลงมาหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แทบไม่มีคนมาซื้อ จนลงไป 3,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีจังหวะรีบาวนด์ขึ้น แต่คนก็ยังทยอยขายอยู่
2.ตลาดคาดหวังการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีน หนุนเงินหยวนจีนแข็งค่า
3.แนวโน้มการเจรจาการค้า สหรัฐฯ กับ ญี่ปุ่น + ตลาดบางส่วนมอง BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้ หนุนเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่า
- “บาทแข็ง” เกินไปทำลายขีดความสามารถ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศไทยดำเนินการอย่างต่อเนื่องในกระบวนการนี้ตามเกณฑ์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยท้าทายต่อเนื่องในการบริหารจัดการนโยบายการเงินและการค้า เพื่อป้องกันผลกระทบทางการค้าที่อาจตามมาจากการถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนค่าเงิน
อย่างไรก็ตามมองว่า แม้ธปท.จะถูกกำหนดด้วยเกณฑ์สหรัฐ แต่มองเกณฑ์เหล่านี้อาจไม่ได้กระทบต่อการสูญเสียอิสระในการดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ธปท. เนื่องจากมองว่า ยังคงมีเครื่องมือต่าง ๆ และอำนาจอิสระในการดูแลค่าเงิน
อีกทั้ง การแทรกแซงค่าเงิน เป็นอำนาจอิสระของ ธปท. ในกรณีที่ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลจากค่าเงินบาทแข็งค่าคือ ผลกระทบของค่าเงินบาทต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวช้า ดังนั้นภายใต้เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวประเทศไทยอาจมีความจำเป็นที่ต้องการเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าหากเทียบกับเพื่อนบ้าน เพื่อช่วยความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น
“การที่เงินบาทแข็งแรงกว่าเพื่อนบ้านอาจทำให้ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ และส่งผลให้ไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ค่าเงินเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยวในช่วงที่เศรษฐกิจภายในยังฟื้นตัวช้าได้”







