’ธปท.’ ดันแก้หนี้เสีย ‘4ล้านราย’ เปิดทางตั้ง ‘เจวีเอเอ็มซี’ แก้เอ็นพีแอลรายย่อย

’ธปท.’ ดันแก้หนี้เสีย ‘4ล้านราย’  เปิดทางตั้ง ‘เจวีเอเอ็มซี’  แก้เอ็นพีแอลรายย่อย

“แบงก์ชาติ” เร่งเครื่องแก้วิกฤติิหนี้เสีย ประกาศเปิดทางตั้ง “เจวีเอเอ็มซี” ใหม่ หวังขยายบทบาท “เอเอ็มซี” ดูดซับ “เอ็นพีแอล” สู่ระดับ 20-30% พร้อมลุยแก้หนี้รายย่อยต่ำกว่า 1 แสนบาท 4 ล้านราย คาดเริ่มเฟสแรกใน 1-2 สัปดาห์นี้

KEY

POINTS

  • ธปท.เตรียมออกประกาศใหม่เพื่อเปิดทางให้สถาบันการเงินสามารถจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JVAMC) ได้อีกครั้ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย (NPL)
  • หวังการตั้ง JVAMC มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มบทบาท AMCในการดูดซับหนี้เสียออกจากระบบ โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้รายย่อย ให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
  • เดินหน้าแก้หนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายประมาณ 4 ล้านรายทั่วประเทศ คาดชัดเจน1-2สัปดาห์นี้ 
  • โครงการระยะแรก คาดโอนหนี้เสียของลูกหนี้รายย่อยราว 1.5-2 ล้านราย 

’ธปท.’ ดันแก้หนี้เสีย ‘4ล้านราย’  เปิดทางตั้ง ‘เจวีเอเอ็มซี’  แก้เอ็นพีแอลรายย่อย

ล่าสุดบนเวทีสัมมนา “BAM SYMPOSIUM ครั้งที่ 1 NEW ERA OF AMC พลิกฟื้นสินทรัพย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่จัดขึ้นโดยบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ได้กลายเป็นเวทีสำคัญของการรวมพลังภาคธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เพื่อหาทางออกต่อปัญหาหนี้เสียที่กำลังท่วมระบบการเงินไทย

ภายในงานมีการฉายภาพสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงเปราะบาง และเสนอแนวทางพลิกฟื้นสินทรัพย์ที่มีปัญหาให้กลับมาสร้างมูลค่าใหม่ พร้อมสะท้อนบทบาทของ AMC ในฐานะ “กลไกฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ” ที่จะช่วยดูดซับหนี้เสียและคืนโอกาสให้ลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบได้อีกครั้ง

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ว่า หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังคือ “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง และกลายเป็นแรงฉุดสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย

แม้ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยจะลดลงมาอยู่ที่กว่า 86% แต่ยังอยู่ในระดับที่สูง ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงคือหนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 

โดยปัจจุบันมี “หนี้เสีย” แล้วเกือบ 4% และที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้หรือ ในกลุ่ม SM ราว 8-9% ดังนั้น รวมกันสองกลุ่มอยู่ที่ 11-12% ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะหนี้กำลังไหลไปสู่การเป็น “หนี้เสีย” ซึ่งไม่เพียงกดดันเฉพาะการบริโภค การลงทุน กระทบต่อความสามารถการเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้นและกลายเป็นปัญหาฉุดรั้งต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวด้วย

ดังนั้น มองว่ามีความจำเป็นอย่างมากในการ ขยายบทบาทของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ให้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือลูกหนี้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมายืนได้ และกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

ล่าสุด ธปท.อยู่ระหว่างการแก้ไขประกาศเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (Joint Venture AMC หรือ JVAMC) ซึ่งประกาศเดิมได้หมดอายุลงตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมา โดยคาดการแก้ไขใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2-3 วันข้างหน้านี้ เพื่อเปิดทางให้สถาบันการเงินสามารถจัดตั้ง JVAMC ใหม่ได้อีกครั้ง

สำหรับเป้าหมายของการปรับปรุงประกาศครั้งนี้ คือการเพิ่มความยืดหยุ่นให้ AMC และธนาคารพาณิชย์ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาหนี้เสียได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีปัญหาการชำระหนี้ การเปิดช่องให้เกิด JVAMC ใหม่จะช่วยให้กระบวนการบริหารจัดการหนี้มีความคล่องตัว และขยายขอบเขตการช่วยเหลือให้ครอบคลุมลูกหนี้ได้กว้างขึ้น และเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

รวมทั้งหลังจากประกาศฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ คาดว่าจะมีสถาบันการเงินและ AMC หลายแห่งเข้ามาร่วมจัดตั้ง JVAMC ใหม่ เพราะปัจจุบันหลายธนาคารให้ความสนใจที่จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนเริ่มรุนแรงขึ้น มอง AMC ช่วยดูดซับหนี้เสียในระบบการเงิน

โดยมองบทบาทของ AMC มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการดูดซับหนี้เสียออกจากระบบการเงิน ช่วยลดภาระของธนาคารพาณิชย์ และทำให้ลูกหนี้มีโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากขึ้น

ในอดีต AMC เคยมีอัตราการดูดซับหนี้อยู่ที่ราว 20% ของระบบ แต่ในปัจจุบันตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียงประมาณ 10% กว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของ AMC ยังมีช่องว่างในการขยายตัวอีกมาก 

การแก้ไขประกาศเพื่อเปิดทางให้จัดตั้ง JVAMC ใหม่จึงเป็นการ กระตุ้นให้เกิดผู้เล่นใหม่ในตลาด AMC และเพิ่มศักยภาพในการจัดการหนี้เสียอย่างเป็นระบบ 

ดังนั้นระยะข้างหน้าอยากเห็นAMC เข้ามามีบทบาทในการรับซื้อหนี้เสียในระบบเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 20-30% เพราะเมื่อ AMC ดูดซับหนี้เสียในระบบได้มากขึ้น จะช่วยลดจำนวนลูกหนี้ที่ค้างชำระได้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับโครงสร้าง เพราะช่วยให้ลูกหนี้ที่เคยหลุดออกจากระบบกลับมามีสถานะทางการเงินที่ดี และสามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

คาด 1-2 สัปดาห์ชัดเจนตั้ง AMC แก้หนี้รายย่อยต่ำ 1 แสนบาท

ทั้งนี้ นอกจากการขยายบทบาท AMC แล้ว ธปท.ยังร่วมมือกับรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงสมาคมธนาคารไทย เพื่อจัดทำโครงการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก 

สำหรับโครงการนี้ครอบคลุมลูกหนี้ประมาณ 4 ล้านรายทั่วประเทศ โดยจะทยอยดำเนินการเป็นระยะ เริ่มจากเฟสแรกซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจาและใกล้จะแล้วเสร็จ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
ส่วนเฟสแรกของโครงการจะมุ่งเน้นไปที่การโอนหนี้เสียในกลุ่มลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท โดยคาดว่าจะครอบคลุมลูกหนี้ประมาณ 1.5-2 ล้านราย เพื่อให้ได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสมและมีโอกาสฟื้นตัวทางการเงิน 

โดยหนี้ที่ถูกโอนในเฟสแรกคาดจะเป็นลูกหนี้จากธนาคารพาณิชย์ ราว 700,000 ราย โอนให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เช่นเดียวกัน หนี้ของ Non-bank ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ ราว 800,000 ราย ขณะที่เหลือคือ หนี้ของธนาคารรัฐราว 400,000-500,000 ราย โอนให้ บริษัท Ari AMC ที่ถือหุ้นระหว่างธนาคารออมสิน และ BAM

ทั้งนี้ มองการโอนหนี้ในเฟสแรกนี้อาจไม่ทำให้ยอดรวมหนี้ครัวเรือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทันที แต่สิ่งสำคัญคือจะสามารถ ช่วยให้ลูกหนี้จำนวนมากหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย และกลับมาอยู่ในระบบเศรษฐกิจได้ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากขึ้น

นายวิทัย ยังกล่าวอีกว่า การออกประกาศใหม่เพื่อจัดตั้ง JVAMC และการขยายบทบาทของ AMC จะเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการคลี่คลายปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ เพราะจะทำให้มีช่องทางในการบริหารจัดการหนี้เสียที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ภาคธนาคารและลูกหนี้สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้พร้อมกัน

“สิ่งที่เราต้องการเห็นคือ ลูกหนี้ที่เคยผิดนัดชำระ สามารถกลับเข้าสู่ระบบได้อีกครั้ง ผ่านการบริหารจัดการของ AMC ที่มีความยืดหยุ่นกว่าเดิม หากทำได้สำเร็จ นอกจากจะช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนแล้ว ยังจะช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเสริมเสถียรภาพให้ระบบการเงินของประเทศได้อย่างยั่งยืน”

“เอเอ็มซี” กับภารกิจพลิกฟื้นหนี้เสีย

ดร.รักษ์วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ในวันที่ระบบการเงินเผชิญ “มวลน้ำเสีย” จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เอเอ็มซีต้องทำหน้าที่เป็น “แก้มลิง” ของระบบ เพื่อช่วยดูดซับภาระหนี้ที่ท่วมท้น ไม่ให้ล้นทะลักจนกระทบเสถียรภาพโดยรวม

ดังนั้น หน้าที่ของเอเอ็มซีไม่ใช่เพียงการ “ตีทรัพย์” หรือ “ขายทรัพย์เพื่อชำระหนี้”เท่านั้น แต่หัวใจคือการ เปลี่ยนหนี้เสียให้กลับมาเป็นหนี้สุข (Re-performing Loan) ด้วยการช่วยให้ลูกหนี้ลุกขึ้นยืนได้ใหม่

อย่างไรก็ตาม หากดูโครงสร้างหนี้เสียในปัจจุบันยอมรับว่าซับซ้อนมากขึ้น อดีตตอนวิกฤติิต้มยำกุ้ง หนี้เสียเคยสูงอยู่ที่ 38-42% แต่ปัจจุบันหนี้เสียอยู่เพียง 3% แต่หนี้กลับซับซ้อนกว่าต้มยำกุ้งอย่างมาก จากหนี้ที่มีชิ้นเล็กๆ ที่แก้ยาก ดังนั้น แม้มีเอเอ็มซีกว่า 90 แห่ง ก็ยังไม่เพียงพอรับมือได้ทันกับมวลน้ำใหม่ที่วิ่งเข้ามาเร็วและแรงเกินไป

โดยสิ่งที่น่าห่วงอย่างมากคือ หนี้ครัวเรือนของไทยแม้จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86% แต่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียนที่เพียง 63% กลับสะท้อนว่าประเทศไทยยังมีหนี้สูงเกินศักยภาพ ไม่เพียงเท่านั้นไทยยังมี “หนี้นอกระบบ” ที่ยังคงเป็นปัญหาซ่อนเร้นที่ใหญ่และซับซ้อนปัญหาหนี้ท่วมระบบ

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าห่วงในระบบการเงินไทย คือ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และรีเทลรายย่อย ซึ่งบางประเภทสูงถึง 60-67% ดังนั้นน่าห่วง

รวมทั้งหากดูขนาดของหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารของเอเอ็มซีในระบบ พบว่ามูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะจากธนาคารพาณิชย์กว่า 500,000 ล้านบาท และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอีกกว่า 300,000 ล้านบาท รวมแล้วจะทะลุ 2 ล้านล้านบาทในเร็ววันนี้

ดังนั้น หากไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้เหล่านี้ได้ ปัญหานี้จะกลายเป็นภาระถาวรที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ดังนั้นโจทย์สำคัญของเอเอ็มซี คือการเร่งเปลี่ยน NPL ให้กลับมาเป็น RPL (Re-performing Loan) โดยเร็วที่สุด ผ่านระบบติดตามที่วัดผลได้ เช่น การจ่ายหนี้ต่อเนื่อง 12-18 งวด

ถกแบงก์พาณิชย์รายใหญ่3แบงก์ตั้ง JV AMC

อย่างไรก็ตาม จากที่ธปท. อยู่ระหว่างการประกาศตั้ง JVAMCนั้น ล่าสุด BAM ได้มีการเดินหน้าหารือกับธนาคารพาณิชย์รายใหญ่แล้ว 3 ราย จากปัจจุบันที่มีการจัดตั้ง JV AMC ร่วมกับแบงก์แล้ว 2 ราย โดยคาดว่าหากได้ 3 แบงก์ใหม่มา BAM อาจได้หนี้เสียเข้ามาสู่ระบบเพิ่มเป็นแสนล้านบาทในอนาคต โดยคาดว่าการเจรจาดังกล่าวน่าจะมีความชัดเจนได้ภายในสิ้นเดือนพ.ย.นี้


“ข้อดีของการแต่งงาน หรือJV คือมีความงดงามคนละแบบกับการซื้อตรง การซื้อตรงต้องซื้อวอลุ่ม ของเลือกไม่ได้ และต้องเหมากองในราคาถูก แต่การแต่งงานแสดงว่าคู่ค้าต้องการให้บริษัทเดินต่อไปได้ จึงจะไม่นำของที่ไม่ดีมารวม หากต้องการอยู่กินกันนาน ๆ ก็จะเลือกแต่งงาน”
 

5 บิ๊ก AMC ผู้พลิกฟื้นหนี้เสียสู่ระบบ  

นายกฤษณพงศ์ กิจสนาพิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานบริหารหนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) เน้นย้ำบทบาทของ SAM ในการเป็นผู้ดูแลซับหนี้เสียเข้าสู่ระบบเพื่อ “ฟื้นฟู” ลูกค้าให้กลับคืนสู่ระบบปกติให้ได้มากที่สุด และหากฟื้นฟูไม่ได้จึงจะนำทรัพย์ไปขายทอดตลาด เพื่อให้เกิดการลงทุนและคืนทรัพย์สู่สังคม

โดยกลยุทธ์สำคัญตลอด 25 ปีที่ผ่านมาของ SAM คือการให้คำปรึกษา ให้เวลา ให้โอกาส ซึ่งสะท้อนผ่านผลงานในการส่งเงินคืนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ แล้วกว่า 260,000 ล้านบาท และการทำงาน 3 ด้านหลัก ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้หนี้ประชาชน ฯลฯ ​และยังมีโครงการคลินิกแก้หนี้ที่ช่วยลูกหนี้จากการเป็นหนี้เสีย ที่ล่าสุดที่คนเข้าโครงการกว่า 106,000 ราย มูลค่ารวม 22,500 ล้านบาท

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) กล่าวว่า JMT เหมือนเครื่องไฮบริดในวงจรแก้มลิง ที่เข้ามาจัดการหนี้เสียทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้หนี้กลับมาสู่ระบบได้ โดยปัจจุบันมีหนี้ภายใต้การบริหารกว่า 5 แสนล้านบาท

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า CHAYO กล่าวว่า ขนาดของปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งรวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบราว 37-38 ล้านบัญชี ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการจัดการก่อน เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนท์ คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (KCC) เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ยาวนานตั้งแต่ช่วงวิกฤติิปี 2540 เน้นย้ำว่าหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการหนี้ที่ยั่งยืนคือแนวทาง “Win-Win Solution”