อีคอมเมิร์ซไทยโตไม่หยุด: เมื่อวัยเกษียณคือผู้เล่นหลักในตลาดออนไลน์

ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกำลังเปลี่ยนผ่านโดยมีผู้บริโภควัย 50 ปีขึ้นไปเป็นผู้เล่นหลักและเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ การเข้าถึงสมาร์ตโฟนและระบบชำระเงินดิจิทัลที่ง่ายดาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้สูงวัยสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มตัว
KEY
POINTS
- ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกำลังเปลี่ยนผ่านโดยมีผู้บริโภควัย 50 ปีขึ้นไปเป็นผู้เล่นหลักและเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ
- การเข้าถึงสมาร์ตโฟนและระบบชำระเงินดิจิทัลที่ง่ายดาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้สูงวัยสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มตัว
- ผู้บริโภควัยเกษียณมีกำลังซื้อสูงจากรายได้ที่มั่นคงและมีเวลาเลือกซื้อสินค้า โดยเน้นความสะดวกสบาย คุณภาพ และบริการที่น่าเชื่อถือ
- พฤติกรรมการซื้อของกลุ่มนี้เน้นเหตุผล ความคุ้มค่า และความปลอดภัยมากกว่ากระแส ทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์จากการลดราคามาเป็นการสร้างความไว้วางใจ
- แม้จะเป็นกำลังซื้อสำคัญ แต่ผู้สูงวัยยังเผชิญความเสี่ยงจากภัยออนไลน์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องแก้ไขด้วยการส่งเสริมความรู้เท่าทันดิจิทัล
- พลังซื้อจากกลุ่มวัย 50+ กำลังผลักดันให้อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตบนพื้นฐานของ "ความไว้วางใจ" มากกว่า "ยอดขาย" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่
ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2025 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากเดิมที่โลกออนไลน์ถูกขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ สู่ยุคที่ “ผู้บริโภควัย 50 ปีขึ้นไป” กำลังก้าวขึ้นเป็นพลังเงียบที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ การเข้ามาของกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขยายฐานผู้ซื้อ แต่เป็นสัญญาณของสังคมที่กำลัง “เชื่อมโลกเทคโนโลยีกับผู้สูงวัย” อย่างแท้จริง
โลกดิจิทัลไร้พรมแดน: เมื่อสมาร์ตโฟนเชื่อมรุ่นสู่รุ่น
รายงานดิจิทัลปี 2025 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 60 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 91 % ของประชากรทั้งประเทศ และในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภควัยกลางคนและสูงวัยเข้าถึงบริการออนไลน์ได้ง่ายกว่าที่เคย
การแพร่หลายของสมาร์ตโฟน แอปธนาคาร และระบบ E-Payment อย่าง PromptPay ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ทุกช่วงวัย ผู้สูงวัยจำนวนมากเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ติดต่อสื่อสารกับลูกหลาน และล่าสุดคือการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรืออาหารเสริม การเข้าถึงที่สะดวกนี้ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ตามเทคโนโลยี” แต่กลายเป็น “ผู้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัล” เต็มตัว ที่สำคัญ คนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง เนื่องจากมีรายได้ที่มั่นคงจากเงินบำนาญ การออม หรือธุรกิจส่วนตัว ประกอบกับมีเวลามากขึ้นในการเลือกซื้อ ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากแรงขับของผู้บริโภควัย 50+ ที่ต้องการความสะดวกสบาย คุณภาพ และบริการที่น่าเชื่อถือ
พฤติกรรมใหม่ของนักช้อปวัยเกษียณ: ซื้อด้วยเหตุผล มากกว่ากระแส
หากผู้บริโภครุ่น Millennials และ Gen Z คือ “นักทดลอง” ที่ชอบเทรนด์ใหม่ กลุ่ม 50+ กลับเป็น “นักเลือก” ที่มองหาความคุ้มค่า ความปลอดภัย และบริการหลังการขายที่ดี ธุรกิจออนไลน์จึงเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์จากการ “ลดราคาแรง” มาเป็นการ “สร้างความไว้วางใจ”
หมวดสินค้าที่มักได้รับความสนใจจากกลุ่มนี้ได้แก่ สินค้าเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี อุปกรณ์ออกกำลังกาย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีแนวโน้มอ่านรีวิวละเอียด ตรวจสอบข้อมูลผู้ขาย และให้ความสำคัญกับการคืนสินค้ามากกว่ากลุ่มอายุน้อย เพราะเชื่อว่า “การซื้อของออนไลน์ที่ดี ไม่ใช่ของถูกที่สุด แต่ต้องปลอดภัยและใช้ได้นานที่สุด” ในเชิงจิตวิทยา การซื้อของออนไลน์ยังทำหน้าที่เป็น “รางวัลเล็ก ๆ” ให้กับชีวิตหลังการทำงาน เป็นวิธีคลายเครียด และเป็นช่องทางเชื่อมต่อกับสังคมยุคใหม่ ที่ไม่ต้องออกจากบ้านแต่ยังรู้สึกมีส่วนร่วมกับโลกภายนอก
ความท้าทายของสังคมดิจิทัลสูงวัย: ภัยออนไลน์และช่องว่างความรู้
การที่ผู้สูงวัยจำนวนมากเข้าสู่โลกดิจิทัลเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ก็เปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงใหม่ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จากการสำรวจเชิงพฤติกรรมพบว่า ผู้ใช้อายุ 60 ปีขึ้นไป เกือบครึ่งหนึ่งเคยประสบปัญหาหรือถูกคุกคามทางออนไลน์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ปลอม หรือการส่งข่าวปลอม (Fake News) ผ่านช่องทางโซเชียล สาเหตุสำคัญมาจากความไม่เข้าใจในระบบความปลอดภัยดิจิทัล เช่น การใช้รหัสผ่านซ้ำ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว หรือการโอนเงินให้บุคคลแปลกหน้าในแชต ซึ่งทำให้ผู้สูงวัยกลายเป็นเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพออนไลน์
ทางออกของปัญหานี้คือการยกระดับ “ความรู้เท่าทันดิจิทัล” อย่างเป็นระบบ ทั้งภาครัฐและเอกชนควรร่วมกันจัดหลักสูตรสั้น หรือกิจกรรมอบรมในชุมชน เพื่อให้ผู้สูงวัยเรียนรู้วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ปลอดภัย เข้าใจระบบยืนยันตัวตน และรู้จักป้องกันการหลอกลวง เพราะ “ความมั่นใจในการใช้งาน” คือรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน ธุรกิจเองก็ต้องปรับตัว โดยเน้นการออกแบบเว็บไซต์และแอปให้ใช้งานง่าย อ่านชัดเจน มีฟังก์ชันติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล และเน้นความโปร่งใสในกระบวนการคืนเงินและรับประกันสินค้า สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความพึงพอใจ แต่ยังสร้างความไว้วางใจระยะยาวกับกลุ่มลูกค้าที่ภักดี
ปี 2025: ยุคแห่ง “ความไว้ใจ” ไม่ใช่แค่ “ยอดขาย”
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2025 ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ความเชื่อมั่น” ที่ผู้บริโภครู้สึกต่อแพลตฟอร์ม ต่อผู้ขาย และต่อระบบชำระเงินที่ปลอดภัย พลังซื้อจากกลุ่มวัย 50+ กำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างมั่นคง และสร้างสมดุลให้ตลาดออนไลน์ที่เคยผันผวนจากกระแสของคนรุ่นใหม่
ดังนั้น หัวใจของการเติบโตระยะยาวในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ไม่ใช่การขายให้ได้มากที่สุด แต่คือการ “สร้างความไว้วางใจให้มากที่สุด” เพราะในยุคที่ข้อมูล ข่าวสาร และการรีวิวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือคือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ ธุรกิจที่เข้าใจสิ่งนี้ จะสามารถเชื่อมต่อกับผู้บริโภคทุกวัยได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทย-“พลังเงียบวัย 50+” ที่ไม่ได้แค่ใช้จ่าย แต่กำลังนิยามโลกดิจิทัลในแบบของตนเอง สะท้อนว่าความไว้วางใจอาจไม่ใช่กลยุทธ์ทางการตลาดอีกต่อไป หากแต่คือ “หัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่” อย่างแท้จริงครับ







