เจ้าของกิจการควรทำ ‘ประกันคีย์แมน’ เท่าไร ถึงจะเหมาะสม

เจ้าของกิจการควรทำ ‘ประกันคีย์แมน’ เท่าไร ถึงจะเหมาะสม

สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการมักมองข้าม คือ “ความเสี่ยงจากคนสำคัญ” หรือ Keyman ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด ธุรกิจอาจสะดุดทันที “ประกันคีย์แมน” คือหนึ่งในทางออกป้องกันปัญหา

ในการดำเนินธุรกิจสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการมักจะละเลยแต่กลับมีความสำคัญมาก คือ “ความเสี่ยงจากคนสำคัญ” หรือที่เรียกกันว่า Keyman คนกลุ่มนี้อาจเป็นเจ้าของกิจการ หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง หรือผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจการ ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วยรุนแรง อุบัติเหตุ หรือแม้แต่การเสียชีวิต ธุรกิจอาจสะดุดทันที กำไรหายไป และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมาย

ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการใช้ “ประกันคีย์แมน” เข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสียหาย และทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง แต่คำถามสำคัญคือ เจ้าของกิจการควรทำประกันคีย์แมนเท่าไรจึงจะเหมาะสม?

หลักคิดในการกำหนดวงเงินประกันคีย์แมน

การกำหนดทุนประกันไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่สามารถอ้างอิงจากปัจจัยสำคัญได้ดังนี้

1. มูลค่าทางเศรษฐกิจของคีย์แมน เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารคนสำคัญสร้างรายได้ให้บริษัทเท่าไรต่อปี หากธุรกิจต้องสูญเสียบุคคลนี้ไป บริษัทจะเสียรายได้ไปมากน้อยแค่ไหน ทุนประกันควรครอบคลุมความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

2. ค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน ธุรกิจอาจต้องใช้เวลาและเงินมหาศาลในการหาคนใหม่มาทำหน้าที่แทน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างที่สูงขึ้น ค่าฝึกอบรม หรือค่าปรับโครงสร้างทีมงาน

3. หนี้สินและภาระที่ธุรกิจมีอยู่ หากกิจการมีหนี้สิน วงเงินกู้ หรือสัญญาที่ต้องรับผิดชอบ ทุนประกันควรเพียงพอที่จะทำให้บริษัทไม่สะดุดในการชำระหนี้

4. เป้าหมายของผู้ถือหุ้นและครอบครัว ในหลายกรณี หากคีย์แมนคือเจ้าของกิจการเอง ครอบครัวของเขาอาจต้องการเงินชดเชยเพื่อรักษามูลค่ากิจการ หรือเพื่อไม่ให้ธุรกิจถูกบังคับขาย

จากหลักการเหล่านี้ หลายบริษัทนิยมคำนวณเบื้องต้นว่า วงเงินประกันควรอยู่ที่ประมาณ 5–10 เท่าของรายได้ต่อปีที่คีย์แมนสร้างให้กิจการ หรืออาจคิดเป็น จำนวนเงินที่สามารถพยุงธุรกิจได้อย่างน้อย 2–3 ปี จนกว่าจะหาคนมาแทนที่ได้

มุมมองด้านภาษีที่ควรรู้

สิ่งที่เจ้าของกิจการมักให้ความสนใจไม่แพ้กัน คือผลกระทบด้านภาษีของการทำประกันคีย์แมน

  • เบี้ยประกันคีย์แมน หากกิจการเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อทำให้กับเจ้าของหรือผู้บริหาร ค่าใช้จ่ายนี้โดยหลักแล้ว สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ หากพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานและการรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ
  • การหักค่าใช้จ่าย การบันทึกเบี้ยประกันเป็นค่าใช้จ่ายจะช่วยลดกำไรสุทธิ และส่งผลให้ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตามต้องตรวจสอบเงื่อนไขตามกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง ว่าประเภทของกรมธรรม์นั้นเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่
  • ผลประโยชน์ที่ได้รับ หากเกิดเหตุและบริษัทได้รับเงินชดเชยจากกรมธรรม์ เงินชดเชยดังกล่าวถือเป็น รายได้ของบริษัท ซึ่งอาจต้องนำมารวมคำนวณภาษีในรอบบัญชีนั้นด้วย
  • ผลกระทบต่อบุคคลธรรมดา ถ้าเบี้ยประกันไม่ได้บันทึกในนามบริษัท แต่เป็นการจ่ายโดยส่วนตัวของเจ้าของ กรณีนี้ไม่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีของกิจการได้ แต่เจ้าของอาจใช้สิทธิหักลดหย่อนส่วนตัวตามที่กฎหมายกำหนด หากกรมธรรม์เข้าเกณฑ์ เช่น ประกันชีวิตทั่วไป หรือประกันสุขภาพ

ตัวอย่างสถานการณ์

สมมติว่าบริษัทหนึ่งมีผู้ก่อตั้งที่สร้างรายได้ปีละ 10 ล้านบาท ธุรกิจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีจึงจะหาคนมาทดแทนได้ และยังมีหนี้สินคงค้างอีก 15 ล้านบาท ดังนั้นวงเงินประกันคีย์แมนที่เหมาะสมอาจต้องไม่น้อยกว่า 45 ล้านบาท (3 ปี × 10 ล้านบาท + หนี้ 15 ล้านบาท) เพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด

เมื่อบริษัทซื้อประกันคีย์แมน วงเงินเบี้ยประกันที่จ่ายต่อปีก็สามารถนำมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้ (ตามเงื่อนไขของสรรพากร) ช่วยลดฐานภาษีไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ

ข้อควรระวัง

  • วงเงินที่มากเกินไปอาจทำให้บริษัทต้องแบกรับเบี้ยประกันสูงโดยไม่จำเป็น
  • หากเลือกกรมธรรม์ผิดประเภท อาจไม่สามารถนำค่าเบี้ยไปหักภาษีได้
  • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและประกัน เพื่อออกแบบวงเงินและรูปแบบกรมธรรม์ให้เหมาะสมกับกิจการ

สรุป การทำประกันคีย์แมนไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันความเสี่ยง แต่ยังเป็นการบริหารจัดการภาษีอย่างชาญฉลาด เจ้าของกิจการควรพิจารณาทุนประกันโดยอ้างอิงจากรายได้ที่คีย์แมนสร้าง หนี้สินของบริษัท และค่าใช้จ่ายในการหาคนมาแทน รวมถึงต้องเข้าใจผลกระทบด้านภาษีให้ชัดเจน เพื่อให้ธุรกิจได้รับทั้งความคุ้มครองและประโยชน์ทางการเงินสูงสุด

ดังนั้นประกันคีย์แมนที่ “เหมาะสม” ไม่ได้มีตัวเลขตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการวางแผนให้สอดคล้องกับความจริง ทั้งในมุมการดำเนินงาน มุมครอบครัวผู้ถือหุ้น และมุมภาษี เพื่อให้ธุรกิจยืนหยัดต่อไปได้อย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting