BITKUB SUMMIT 2025 เปิดเวทีดีเบตเดือด! เงินเฟ้อเปลี่ยนเกมลงทุน

BITKUB SUMMIT 2025 เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องเล่น! เมื่อบิทคอยน์ ทองคำ หุ้น อสังหาฯ ต้องขึ้นเวทีดีเบต ทุกสินทรัพย์ต้องพิสูจน์ตัวเอง รวมคำตอบที่ไม่มีใครจากกูรูตัวจริง
KEY
POINTS
- เวทีดีเบตในงาน BITKUB SUMMIT 2025 ถกเถียงประเด็นเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และบิตคอยน์
- ผู้เชี่ยวชาญมีมุมมองที่หลากหลาย ตั้งแต่การมองว่าบิตคอยน์และหุ้นเทคโนโลยีเป็นทางเลือกในการสร้างผลตอบแทน ไปจนถึงการตั้งคำถามถึงมูลค่าที่แท้จริงและความเสี่ยง
- มีการนำเสนอกลยุทธ์ส่วนบุคคลเพื่อรับมือเงินเฟ้อ เช่น การหาแหล่งรายได้เสริม (Active Income) การลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้จริงเพื่อเอาชนะตลาด และการถือเงินสดเพื่อรับมือความไม่แน่นอน
- สินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างอสังหาริมทรัพย์ถูกมองว่าเป็นเกมของคนรวยในภาวะปัจจุบัน ขณะที่บางมุมมองเชื่อว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงเพราะค่าแรงจะปรับตัวสูงขึ้นตามในระยะยาว
ในเวทีงานสัมมนา “BITKUB SUMMIT 2025 " หัวข้อ “THE GREAT DEBATE: THE INFLATION BATTLE” เมื่อเงินเฟ้อกลายเป็นสนามรบของนักลงทุน หุ้น อสังหาฯ หรือบิตคอยน์ ใครจะครองชัยในยุคเศรษฐกิจผันผวน?
เวทีเดียวที่รวมกูรูจากการเงินและการลงทุนมาดีเบตกันสดๆ แบบไม่มีสคริปต์!
“จิรายุ ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มองว่า เงินเฟ้อโตเร็ว-รายได้กระจุกตัว คนรุ่นใหม่เริ่มต้นด้วยความท้าทาย
“รายได้พรีเมี่ยมกระจุกตัวอยู่ในมือเจ้าของกิจการ ขณะที่คนจบใหม่กลับเริ่มต้นด้วยรายได้ต่ำ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจึงขยายตัวอย่างมหาศาล”
ขณะที่สหรัฐฯ และหลายประเทศพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัวตามการขยายตัวของสินค้าและบริการ อสังหาริมทรัพย์เผชิญภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ท่ามกลางแนวโน้มประชากรลดลง “คนตายมากกว่าคนเกิด” ทำให้ความต้องการซื้อบ้านลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
บิทคอยน์-ทองคำ-หุ้นเทค ทางเลือกหรือความเสี่ยง?
“จิรายุ“ ย้ำว่า บิทคอยน์ถูกตั้งคำถามถึงมูลค่าที่แท้จริง หากบิทคอยน์ เท่ากับศูนย์บาท เมื่อวันที่เหลือ 1 บาทต่อเหรียญ บิทคอยน์มีปริมาณเท่ากับ21ล้านยูนิต ผมจะเอาเงินไปซื้อเอง 21 ล้านบาท
ส่วน "ทองคำ" อาจไม่ใช่คำตอบในระยะยาว เมื่อเทคโนโลยีสามารถผลิต “ทองสังเคราะห์” ได้ นักลงทุนบางส่วนจึงเริ่มลดการถือครอง และหุ้นเทคโนโลยีในกลุ่ม S&P500 ยังคงเป็นเป้าหมายระยะยาว หากนักลงทุนสามารถรอได้ 4 ปี แม้ระยะสั้นอาจเผชิญแรงขายจากการโตเร็วเกินพื้นฐาน
หา Active Income หลายๆช่องทาง
“วีรวัฒน์ วลัยเสถียร” หรือ ดิว" นักธุรกิจและนักลงทุนชื่อดัง ฉายา "อายุน้อย 100 ล้าน มองว่า ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อย ๆ แนะนำให้หาช่องทางสร้างรายได้เสริม เมื่อ“ ของแพงขึ้น ต้องหา Active Income หลายๆช่องทาง “ทำได้ก็ทำ” แต่การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องรู้จักจังหวะและความสามารถตัวเอง
“สมัยก่อนเคยเป็นนักขุดบิทคอยน์ บิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2017 ตอนราคา2,000 ดอลลาร์ แลกเหรียญมีรายได้ 30,000-40,000บาทต่อวัน ค่าไฟ 400,000 ต่อเดือน ขุดได้ก็แลกหมด ไม่รอ ถ้าถือรอไว้ก็อาจได้พันล้าน การลงทุนมีความเสี่ยง ระยะสั้นทำกำไรได้ ต้องทำก่อน“
วิธีเอาตัวรอด อยากรวย ต้องชนะ S&P 500
“ซีเค เจิง” ซีอีโอของ Fastwork แพลตฟอร์มบริการฟรีแลนซ์ ยังคงมีมุมมองเดิมว่า เงินเฟ้อไม่ได้มาจากการพิมพ์เงินของรัฐบาลอย่างเดียว และถ้าธุรกิจสามารถสร้างเงินได้เร็วกว่าเงินเฟ้อก็แทบจะไม่เป็นปัญหา แต่มันไม่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ และ“เงินก็ยังคือหนี้” ตามที่เขาเคยได้กล่าว
ดังนั้น คนรวยจึงไม่เก็บเงินสดในมือแต่เก็บผลิตภัณฑ์ หุ้น คือโอกาส ถ้าอยาก “รวย” ต้องชนะตลาด จากแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตเคย กล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน ซื้อหุ้น S&P 500 คือทางเลือกที่ดีที่สุด” เพราะมันคือการลงทุนในตลาดรวม แต่การลงทุนแบบนี้…ไม่ทำให้คุณ “รวย” ได้
ถ้าอยากรวย ต้องชนะ S&P 500 ซึ่ง ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย10% ต่อปี ถ้าคุณอยาก “รวย” ต้องทำมากกว่านั้น หรือไม่ต้อง “สร้างธุรกิจ” หรือ “ลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้” อาจให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% ไปเลย แต่ความเสี่ยงก็สูง โอกาสเจ๊งมีถึง 90%
เมื่อดอกเบี้ยลดลง ตราสารหนี้หมดเสน่ห์ เงินไหลเข้าสู่หุ้น ตลาดพุ่งแรง แต่หลังโควิด ดอกเบี้ยสูง หุ้นยังขึ้น แม้ดอกเบี้ยพุ่งถึง 5% หุ้นเทคฯ อย่าง Google, Microsoft, Nvidia กลับยังทำผลตอบแทนชนะตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะพวกเขา “สร้างรายได้” ไม่ใช่แค่ “เก็งกำไร”
และยิ่งปี 2022 คือจุดเริ่มต้นของ S-curve ใหม่ ChatGPT คือ “iPhone แห่งยุค AI” ทุกแอปคือหนึ่งธุรกิจใหม่ ทุกโมเดลคือโอกาสใหม่ ใครเข้าใจเทคโนโลยีนี้ก่อน…มีสิทธิ์ชนะตลาด
“ ถ้าอยากชนะ S&P 500 อย่าลงทุนแบบ “เฉลี่ย” ถ้าอยาก “รวย” เลือกหุ้นที่ “สร้างรายได้” ไม่ใช่แค่ “โตตามกระแส” เข้าใจจุดเปลี่ยนของโลก เช่น AI, ดอกเบี้ย, เทคโนโลยี หรือสร้างธุรกิจ หรือร่วมลงทุน“
ไม่ให้ราคา กับ เงินเฟ้อ
“พิชัย จาวลา” นักลงทุนด้านอสังหา และ เทรดเดอร์ทฤษฏีผลประโยชน์ (ในสายตาคนส่วนใหญ่)มองว่า ไม่ให้ราคา กับ เงินเฟ้อ เพราะคนรวยชนะเงินเฟ้อ เงินเฟ้อคือปรากฏการณ์ระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “อสังหาริมทรัพย์” ไม่ได้ถูกนับรวมตรงไปตรงมาในการคำนวณเงินเฟ้อ ทั้งที่ราคามันพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าเงินเฟ้อไม่รุนแรง ทั้งที่ต้นทุนชีวิตจริงกลับแพงขึ้นทุกวัน
“คนที่เคยรวยในอดีตหลายคนกลับจนลง เพราะราคาที่ดินและอสังหาสูงเกินเอื้อม ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถือครองอสังหาเลย กลายเป็นการแบ่งแยกชัดเจนระหว่าง “คนรวย” กับ “ชนชั้นกลาง” ที่ต้องเผชิญกับรายรับรายจ่ายที่ไม่สมดุล”
ดังนั้น อยากชนะเงินเฟ้อ ต้องเข้าไปอยู่ในเกมอสังหา ซึ่ง คนรวยไม่กลัวเงินเฟ้อ เพราะพวกเขา “อยู่ในทรัพย์สินที่ชนะเงินเฟ้อ” เช่น ที่ดิน อาคาร และอสังหาริมทรัพย์ เราจึงต้องสอนคนให้ “เป็นคนรวย” ไม่ใช่แค่รวยเงินสด แต่รวยทรัพย์สินที่เติบโตตามเงินเฟ้อ
แต่อย่างไรก็ตาม จากยุคค้าขายสู่ยุคแข่งขันต้นทุนซึ่งในอดีต แค่มีหัวการค้าก็รวยได้ ไม่ต้องมีความรู้มาก คนไทยเชื้อสายจีนหรืออินเดียเริ่มจากขายของ เก็บเงินซื้ออาคารพาณิชย์ ส่งต่อให้ลูกหลานร่ำรวย
แต่วันนี้กลับกัน ความรู้ไม่ใช่ข้อได้เปรียบเสมอไป เพราะทุกคนเข้าถึงเครื่องมือฟรีเหมือนกันหมด มือถือเครื่องเดียวก็ทำธุรกิจได้ แต่คู่แข่งก็เต็มไปหมด และต้นทุนกลายเป็นศัตรูตัวจริง อสังหาวันนี้ คนขายมี แต่คนซื้อไม่มี
“ในยุคฝืดเคืองแบบนี้ คนอยากขายอสังหามีมาก แต่คนซื้อกลับไม่มี เพราะราคาสูงเกินไป การถือครองอสังหาจึงไม่ใช่ทางรอดของทุกคนอีกต่อไป แต่กลายเป็นสนามที่คนรวยเท่านั้นที่ยังเล่นได้”
ส่วนสินทรัพย์จะเป็นของที่ดีแค่ไหนก็ช่างแต่ถ้าผิดเวลายังไงก็ต้องลง เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ซื้อบิทคอยน์ เพราะร้อนแรงเกินไป “ทองคำก็เช่นกัน “ถ้าเงินหาง่ายขนาดนี้ ทองคงไม่วิ่งผิดธรรมชาติ หุ้นคงไม่ขาดทุน บิทคอยน์คงไม่เหวี่ยงแรง แล้วทุกคนคงรวยกันหมดแล้วสิ? แต่ความจริงคือ…จังหวะไม่ใช่เครื่องราง โอกาสไม่ใช่ของแจกฟรี และการลงทุนไม่ใช่ทางลัดสู่เศรษฐี”
“ จุดที่อันตราย” ที่สุดคือ คำที่ทุกคนบอกว่า ” บิทคอยน์หรือทองคำ จะไปต่อแน่” ตรงนี้จะเป็นกับดักให้คนอยากซื้อมากที่สุด ถ้าวันนี้เราเป็นเจ้ามือรายใหญ่เราจะไม่อยากลากราคาไปสูง เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าจะมีคนซื้อต่อที่ยอด ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าในระยะสั้น ราคาจะไม่ไปต่ออย่างแน่นอน เช่นเดียวกันกับทองคำที่ตอนนี้เริ่มน่ากลัว
รวมถึง ในช่วงจังหวะที่ทำการขุดเหมืองถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดตามทฤษฏีคนส่วนน้อยก็จริง แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัตรเพราะทุกคนรู้จักคริปโตกันหมดแล้ว ไม่มีช่องว่างให้เติบโต
และเมื่อถาม ว่าทำไมถึงเป็นคนส่วนน้อย “พิชัย” กล่าวว่า “พื้นฐานของทุนนิยม” คือ “เงินจะมีค่าก็ต่อเมื่อเงินหายาก” ดังนั้นจึงมี“คนส่วนน้อย”เท่านั้นที่จะรวย ดังนั้นเขาไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิดขอเป็นคนส่วนน้อยก็พอ
โดยเมื่อเป็นคนส่วนน้อยเราจะต้องเป็นคนผิด โดยเขาได้กล่าวประโยคเด็ดว่า ”มนุษย์พลาดเพราะแน่ใจในเหตุผล แต่เหตุผลมันดิ้นได้ ไม่เหมือนหลักการที่อยู่เหนือเหตุผล“
“เงินเฟ้อไม่มีอยู่จริง”
”ดร.โสภณ พรโชคชัย“ กล่าวว่า “เงินเฟ้อไม่มีอยู่จริง” เพราะของที่แพงขึ้นจะมาพร้อมกับค่าแรงที่มากขึ้น ถ้าเรารายได้เท่าเดิมเราก็ไม่สามารถซื้ออาหารได้จนอดตาย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปกลัวว่าเงินเฟ้อจะทำให้อดตาย
”ชี้ว่าแม้ราคาก๋วยเตี๋ยวจะเพิ่มขึ้น แต่คนไทยก็ยังไม่อดตาย ยังสามารถซื้อกินได้อยู่ดี แม้รายได้จะลดลง แต่คุณภาพชีวิตกลับดีขึ้น อายุขัยเฉลี่ยแตะ 80 ปี มีอาหารและยาที่ดีขึ้นกว่าเดิม“
การถือเงินสดไว้ถึง 40% อาจดูสวนทางกับหลักการลงทุนทั่วไป แต่ ดร.โสภณมองว่า เป็น” กลยุทธ์รับมือความไม่แน่นอน“ การมีเงินสด จะทำให้มี “อำนาจต่อรอง” และมีเก็บไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเมื่อมีดีลลงทุนที่น่าสนใจ ต่างจากคนไม่มีเงินสดจะขาดความสามารถในการตัดสินใจทันทีเมื่อเกิดโอกาส
พร้อมกันนี้ ยังคงมีมุมมองการลงทุนอสังหาฯ นับเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ในอดีต คนไทยแห่กันลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างมาก ดร.โสภณชี้ว่า ใครไม่ซื้ออสังหาฯ เลยในช่วงนั้น “ก็จนลง” สัดส่วนคนไทยที่ยากจนเคยอยู่ที่ 60% แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 10% แต่บางปีก็กลับเพิ่มขึ้นจากค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหารและค่าเดินทาง ซี่งแม้เงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่ก็ยัง “น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก” ในบางช่วง ดร.โสภณมองว่าสถานการณ์บ้านเรายังดีอยู่ แม้จะมีปัญหาการเมืองการจราจน แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังเดินหน้า คนรวยก็รวยขึ้นทุกวัน
นอกจากนี้ หากถามถึง แล้วบิทคอยน์ ดร.โสภณตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าไม่มีคนซื้อ ราคาบิทคอยน์ก็ไม่ขึ้น
และการเพิ่มขึ้นของราคากำลังหดตัวลง อีกทั้ง บิทคอยน์ไม่ใช่ตัวแทนของ “เงิน” อย่างแท้จริง และอาจเสื่อมค่าในอนาคต รวมถึงยังมีความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง หรือถูกใช้โดยอาชญากร ดังนั้น คนลงทุนที่ “โหนกระแส” ควรมีวิจารณญาณมากขึ้น
“แม้เปิดบัญชีเทรดคริปโทฯ สำเร็จแล้ว แต่ดร.โสภณ ก็ยอมรับว่า “ยังเทรดไม่เป็น” และอาจไม่เหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบิทคอยน์ บางที้เขาอาจเหมาะกับการขายก๋วยเตี๋ยวมากกว่า”







