‘ทีทีบี’ เผยมนุษย์เงินเดือน ‘แบกหนี้ท่วม’ จุดเริ่มต้นวงจร ‘หนี้เรื้อรัง’ จ่ายแค่ดอกเบี้ย

ทีทีบี ชี้ สถานการณ์ “หนี้ครัวเรือนไทย” อยู่ในจุดน่ากังวล เริ่มเห็น“ภาระเรื้อรัง” ที่กัดกินศักยภาพของครัวเรือนและเศรษฐกิจโดยรวม สำรวจพบ 8 ใน 10 มีภาระหนี้สิน เสี่ยงพังได้แม้สะดุดเพียงเล็กน้อย เป็น “เดอะแบกตัวจริงของการเงินยุคนี้”
ล่าสุด ทีทีบี เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกครั้งแรกในงาน เปิด Insight มนุษย์เงินเดือน “เดอะแบกตัวจริง” การเงินยุคนี้ ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอาจไม่ได้มั่นคงอย่างที่หลายคนเชื่อ
โดยผลสำรวจพบ 8 ใน 10 มีภาระหนี้สิน เสี่ยงพังได้แม้สะดุดเพียงเล็กน้อย เป็น “เดอะแบกตัวจริงของการเงินยุคนี้”
“นริศ สถาผลเดชา” ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต ฉายภาพให้เห็นว่า ภายใต้ภาพรวมที่ดูเหมือนหนี้ต่อจีดีพีลดลง แท้จริงแล้วเกิดจากการชะลอตัวของสินเชื่อ ไม่ใช่เพราะรายได้ดีขึ้นหรือหนี้ลดลงจริง รายได้คนไทยเพิ่มเพียงเล็กน้อยในรอบทศวรรษ ขณะที่หนี้สินโตเร็วกว่ามาก โดยเฉพาะหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ดอกเบี้ยสูงถึง 18-24% กำลังเป็นกับดักสำคัญของมนุษย์เงินเดือน
สิ่งที่น่ากังวลคือ “คนทำงาน” ซึ่งควรเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก กลับกลายเป็นกลุ่มเปราะบางสุด เกินครึ่งมนุษย์เงินเดือนในระบบมีภาระหนี้สูงจนแทบไม่มีเงินออม หลายคนหมุนหนี้จ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นวงจรหนี้ต่อเนื่องยากจะหลุดพ้น
หากดูสถานการณ์หนี้ครัวเรือนวันนี้อยู่จุดน่ากังวล โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มาจากฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ที่ครอบคลุม 25 ล้านคน และจากโครงการตรวจสุขภาพทางการเงินของ TTB ที่สำรวจมนุษย์เงินเดือน 96,000 รายช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยจะลดลงสู่ระดับ 87% ในปัจจุบัน จากที่เคยพีกช่วงโควิด-19 ที่เคยขึ้นไปอยู่ 91-92% คาดการณ์ข้างหน้าหนี้ครัวเรือนไทยจะลดลงเหลือ 85% ภายในต้นปีหน้า
แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ ตัวเลขที่ลดลงเกิดจากยอดสินเชื่อหดตัว ไม่ใช่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ปัญหาที่แท้จริงและน่ากังวลที่สุดคือ “รายได้ไม่เพิ่มขึ้นทันรายจ่าย”
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รายได้เฉลี่ยคนไทยโตขึ้นเพียง 14% ตรงกันข้ามกับสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 18-24% กลับเติบโตขึ้นถึง 200%
และหากวิเคราะห์ลงไปลึกกว่านั้น พบการเติบโตของหนี้ส่วนบุคคลนี้ส่วนใหญ่ไม่มาจากธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วน 30% แต่มาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) และสหกรณ์ทำให้ภาระหนี้หนักมาก เนื่องจากสินเชื่อส่วนบุคคลมีดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อบ้านหรือรถยนต์อย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่น่าห่วงคือ ปัจจุบันคนไทยเป็นหนี้ในระบบ 40% ของประชากรในฐานข้อมูลเครดิตบูโรจาก 25 ล้านคน มีหนี้เฉลี่ยต่อหัว 540,000 บาท สัดส่วนประชากรที่เป็นหนี้ในระบบกระโดดขึ้นชัดเจนช่วงโควิด-19 จาก 30% ต้น ๆ เป็นเกือบ 40% ในปัจจุบัน
หากดูถึงความน่ากังวลการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหนี้ตามช่วงวัยช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ปี 2561 เทียบปี 2567 โครงสร้างหนี้ครัวเรือนเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ โดยพบว่า
1.วัยทำงานที่ถูกกระทบหนัก กลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน (25-35 ปี) และวัยสร้างครอบครัว อายุ 35-60 ปี มีสัดส่วนคนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 10%
โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน/คนทำงานในช่วง 30-60 ปี มีหนี้ต่อหัวเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 700,000 บาท ซึ่งถือเป็นภาระที่หนักมาก
2.หนี้สินวัยเกษียณ โดยปัญหาที่น่าตกใจสุดคือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังคงมีภาระหนี้ และยอดหนี้เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำเทียบกับปี 2561 ทั้งที่วัยเกษียณไม่มีรายได้แล้ว ผู้บริหารตั้งคำถามถึงการดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้ โดยบางคนอายุ 80 ปี ก็ยังคงมีภาระหนี้อยู่
หนี้ที่น่าห่วงที่สุดในเวลานี้ มาจากวงจรหนี้ “สินเชื่อส่วนบุคคล” โดยสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นประเภทสินเชื่อที่อยู่กับคนไทยแทบทุกช่วงวัย กลุ่มอายุ 20 ปี 45% ของผู้ที่กู้เลือกสินเชื่อส่วนบุคคล
หากดูพฤติกรรมคนที่เป็นหนี้ส่วนบุคคลพบจุดเริ่มต้นของหนี้คือ 43% ของสินเชื่อก้อนแรกคือ สินเชื่อส่วนบุคคล ไม่เท่านั้นยังพบมีโอกาสเกิดการก่อหนี้ซ้ำซ้อน จากสินเชื่อส่วนบุคคลก้อนแรกมีแนวโน้มจะนำไปสู่สินเชื่อส่วนบุคคลก้อนที่ 2, 3, 4, และ 5 นั่นหมายความว่าคนหนึ่งคนอาจมีสินเชื่อส่วนบุคคลถึง 5 ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องกัน
วงจรเหล่านี้เรียกว่า “ภาวะหนี้ต่อเนื่อง” ที่จะทำให้เกิด “ดอกเบี้ยทบดอกเบี้ย” โดยที่เงินที่ผ่อนชำระนั้นกินแต่ดอกเบี้ยและไม่เข้าสู่เงินต้นเลย ทำให้ผู้คนเป็นหนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 80 ปี ก็ยังคงมีสินเชื่อส่วนบุคคล
ไม่เพียงเท่านั้นจากผลสำรวจเชิงลึกของมนุษย์เงินเดือน พบว่า มนุษย์เงินเดือน 12.5 ล้านคน ถือเป็น “ผู้แบกรับตัวจริง” ของระบบการเงินประเทศ จากการสำรวจ 100,000 ราย พบว่า
1.ความตึงเครียดสูง กว่า 60% มีภาระหนี้ที่ตึงตัวและเงินสำรองไม่เพียงพอ
2.ความเสี่ยงสูง 80% มีหนี้ และ 50% มีหนี้สะสมและมีโอกาสเป็นหนี้เสียสูง
3.พฤติกรรมจ่ายขั้นต่ำ 65% ของกลุ่มที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย เลือกที่จะจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งเป็นการหมุนหนี้ (revolving debt) ทำให้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง
4.ชีวิตเดือนชนเดือน 50% ของมนุษย์เงินเดือนมีชีวิตแบบเดือนชนเดือน ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มรายได้น้อย เพราะแม้แต่ 1 ใน 3 ของผู้มีรายได้เกินแสนบาทก็ยังประสบปัญหาเดียวกัน
5.ขาดเงินสำรองฉุกเฉิน 80% ของผู้มีหนี้ ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอจะอยู่รอดได้นานถึง 6 เดือน หากตกงาน
6.ไม่พร้อมรับมือวิกฤติ 80% คิดว่าตนไม่น่าจะรับมือได้ หากต้องเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิดต่อครอบครัวหรือตนเองที่ต้องใช้เงิน 2 ล้านบาท
7.การวางแผนอนาคตที่เป็นไปไม่ได้ รายได้ส่วนใหญ่หมดไปกับการจ่ายหนี้และการกินอยู่ ทำให้การวางแผนการเงินในอนาคตกลายเป็นเรื่องยาก
เหล่านี้สะท้อนถึงปัญหา “ความรู้ทางการเงินที่บกพร่อง” โดย “นริศ” ชี้ให้เห็นว่า ความรู้การเงินคนไทยยังเปราะบางหลายคนเชื่อสินเชื่อในระบบมีเพียง 3 แบบ คือ บ้าน รถ และสินเชื่อส่วนบุคคล
แต่ที่น่ากังวลคือ คนไทยจำนวนมากเลือกที่จะจ่ายดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 20% จากสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะไม่อยากให้เล่มทะเบียนรถ หรือโฉนดบ้านมีตำหนิ เพราะพวกเขากลัวว่าหากจ่ายไม่ไหว บ้านหรือรถจะโดนยึด
สุดท้ายแล้วขาดความรู้ทางการเงินยิ่งทำทำให้คนไทยจำนวนมากวิ่งเข้าสู่สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยแพง ทั้งที่จริง ๆ แล้วสามารถใช้สินทรัพย์ที่มี บ้าน รถ มาทำรีไฟแนนซ์ หรือรวบหนี้ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่ามากอยู่เพียง 5-10% เท่านั้น







