TTB เปิดกำไรไตรมาส 3 ทรงตัว ที่ 5.2 พันล้าน เดินหน้าบริหารต้นทุน-รักษาความสามารถทำกำไร

ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท ในไตรมาส 3 รวม 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ แนวโน้มหนี้เสียทรงตัว เน้นย้ำพันธกิจหลักในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น และการช่วยเหลือลูกค้าแก้หนี้อย่างยั่งยืน
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568
โดยธนาคาร และบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่รวม 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4% ยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร
ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.81% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ พิเศษเพิ่มเติมจากระดับปกติ เพื่อคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับสูงที่ 151% สอดคล้องกับพันธกิจต่อผู้ถือหุ้นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงในอนาคต ด้านพันธกิจช่วยเหลือลูกค้ายังคงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าแก้หนี้ผ่านหลากหลายโครงการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบาง และลูกค้าประวัติดี
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานและแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 และรอบ 9 เดือน ปี 2568 ในภาพรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดัน ด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง รวมทั้งการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า
โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดการต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารสามารถรักษาแนวโน้มของผลการดำเนินงานควบคู่กับการมีกันชนป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพ การแก้หนี้เชิงรุก และการช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการต่างๆ รวมทั้งโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้น ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ และตกเป็นหนี้เสียน้อยลงเป็นผลให้หนี้เสียมีแนวโน้มทรงตัว โดยอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ต่ำกว่า 2.9% มาโดยตลอดเป็นไปกรอบตามเป้าหมาย
จากปัจจัยพื้นฐานด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จากการดำเนินงานปกติ (Normal Provision) จึงมีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทีทีบีจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ พิเศษหรือ Management Overlay เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ โดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะปกติ สะท้อนได้จากต้นทุนความเสี่ยง (Credit Cost) รอบ 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 142 bps เทียบกับก่อนวิกฤติโควิด-19 ที่ 125 bps ในปี 2562 โดยผลจากการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงหนุนให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Coverage Ratio อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 151%
การดำเนินการดังกล่าวตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และความมุ่งมั่นของทีทีบีในการปกป้องมูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่การบริหารการใช้เงินทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังคงเป็นได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง โครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ในช่วงปี 2568-2570 และการสร้างการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ซึ่งรวมถึงแผนการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท TLeasing เพื่อเพิ่มศักยภาพด้าน Car และ Salaryman Ecosystem ของธนาคาร
สำหรับพันธกิจต่อลูกค้า เรายังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านหลากหลายโครงการ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าที่มีประวัติดี โดยในส่วนของโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ณ สิ้นไตรมาส 3 มีลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อ SMEs เข้าร่วมโครงการทั้งเฟส 1 และเฟส 2 แล้วกว่า 71,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 40,000 ล้านบาท
ด้านโครงการ “รวบหนี้” ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 62,450 ราย เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปีที่แล้ว และสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ผ่อนดี มีรางวัล”
สำหรับกลุ่มลูกค้าสินเชื่อมีวินัยทางการเงิน และมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ ครอบคลุมทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล
ทั้งนี้ ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทีทีบีจึงยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อสร้างแหล่งรายได้ในรูปแบบใหม่ ๆ ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking ในประการสำคัญ
ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการแก้หนี้ต่างๆ และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น”
รายละเอียดผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 มีดังนี้
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 1,198 พันล้านบาท ชะลอลง 0.7% จากไตรมาส 2 ปี 2568 (QoQ) และ 3.5% จากสิ้นปี 2567 (YTD) เป็นผลจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ
ทั้งนี้ สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง นำโดยสินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อเล่มแลกเงิน และบัตรเครดิต หนุนโดยกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพภายใต้ Ecosystem ของธนาคาร ได้แก่ กลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,270 พันล้านบาท ลดลง 1.5% QoQ และ 4.4% YTD สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อและแผนบริหารสภาพคล่อง ทั้งนี้ การลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากกลุ่มบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศและเงินฝากไม่ประจำ ttb no fixed ยังคงขยายตัวได้ดีหนุนโดยกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า Wealth ส่งผลให้ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งสะท้อนสถานะสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 94% ยังคงสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป
ในด้านรายได้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 7.4% QoQ หนุนโดยรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ และการขายกองทุนรวม นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ในฐานะบริษัทย่อย อย่างไรก็ดีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.6% QoQ ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 16,313 ล้านบาท ชะลอลง 0.4% QoQ ภาพรวม 9 เดือน รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 49,248 ล้านบาท ลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,403 ล้านบาท ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 1.8% QoQ รวมเป็น 21,771 ล้านบาท สำหรับรอบ 9 เดือน ปี 2568 ซึ่งลดลง 0.8% YoY ด้านอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้รอบ 9 เดือน อยู่ที่ 44% ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย สะท้อนผลจากการเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ด้านค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ มีจำนวน 3,980 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ลดลง 7.3% QoQ รวม 9 เดือน ปี 2568 ตั้งสำรองฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 12,854 ล้านบาท แม้ลดลง 15.2% จากปีก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจปกติ หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ 5,299 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือน ปี 2568 อยู่ที่ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4.0%
ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูง และมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 19.9% และ 17.9% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







