หรือ Reciprocal Tariff จะไม่ได้ไปต่อ?… มาทำความรู้จักกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ อีกหนึ่งความท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องรับมือ

หรือ Reciprocal Tariff จะไม่ได้ไปต่อ?…  มาทำความรู้จักกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ  อีกหนึ่งความท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องรับมือ

แม้ตัวเลขอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับหลาย ๆ ประเทศจะไม่ได้สูงอย่างที่เคยประกาศไว้ในตอนแรก อีกทั้งความชอบธรรมของการใช้ Reciprocal Tariff ภายใต้กฎหมาย IEEPA ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการศาล แต่สหรัฐฯ ก็ยังก็ยังสามารถใช้กฎหมายมาตราอื่น ๆ เพื่อสร้างแรงกดดันได้ทั้งในมิติของรายสินค้าและรายประเทศ

ในโลกที่มาตรการกีดกันทางการค้าถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและผลประโยชน์สูงสุดของประเทศนั้น ๆ สหรัฐอเมริกาถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการค้าโลกในระยะหลัง ซึ่งนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ได้อ้างถึงกฎระเบียบด้านการค้าระหว่างประเทศหลากหลายข้อ และที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกหนีไม่พ้น การใช้พระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ ปี ค.ศ. 1977 (International Emergency Economic Powers Act : IEEPA) เพื่อใช้กำหนดภาษีนำเข้าศุลกากรแบบตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff แก่ประเทศคู่ค้าในวันปลดปล่อย (Liberation Day) เมื่อต้นเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 10-50% กับคู่ค้าหลายสิบประเทศทั่วโลก ทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเฉลี่ยสูงสุดในรอบเกือบศตวรรษนับตั้งแต่สหรัฐฯ ประกาศใช้กฎหมายภาษีนำเข้าศุลกากร Smoot-Hawley ก่อนที่จะปรับลดภาษีให้กับบางประเทศในเวลาต่อมา

การประกาศเรียกเก็บอัตราภาษี Reciprocal Tariff โดยถ้วนหน้าดังกล่าว นอกจากจะสร้างความโกลาหลแก่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ แล้ว ยังสร้างข้อกังขาถึงการใช้อำนาจเกินขอบเขตของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทรัมป์ ส่งผลให้ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) มีคำตัดสินให้ยกเลิกคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ และล่าสุดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์แห่งสหรัฐฯ ยังคงยืนยันคำวินิจฉัยตามศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลกนั้นผิดต่อหลักกฎหมาย แต่ยอมให้บังคับใช้ต่อไปเป็นการชั่วคราวเพื่อให้เวลาทรัมป์นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงสุด 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเก็บภาษีนำเข้าภายใต้ IEEPA แล้ว สหรัฐฯ ก็มีเครื่องมืออื่นเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับทั่วโลกอีกหลายฉบับ ยกตัวอย่างเช่น

1) มาตรา 201 : ว่าด้วยเรื่องมาตรการปกป้องชั่วคราว (Safeguard) โดยให้อำนาจสอบสวนผ่านคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USITC) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศชั่วคราวที่อาจได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจาก “การนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและสูงผิดปกติ” ซึ่งผู้เสียหายในประเทศสามารถยื่นคำร้องต่อ USITC ก่อนส่งข้อเสนอแนะให้แก่ประธานาธิบดีพิจารณาในลำดับถัดไป โดยที่สหรัฐฯ สามารถใช้มาตรานี้ในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้า การจำกัดโควตานำเข้าสินค้าได้เป็นการชั่วคราว โดยไม่ถือว่าคู่ค้าทำผิดกติกาการค้าแต่อย่างใด ซึ่งก็เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศมีเวลาปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น การเก็บภาษีนำเข้าและกำหนดโควตานำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์จากเกาหลีใต้และจีนในปี 2560 

2) มาตรา 232 : ว่าด้วยเรื่องของการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ (National Security) โดยมาตรานี้ได้ให้อำนาจแก่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (US Commerce) ในการประเมินถึงผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ ครอบคลุมทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้า และห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถกำหนดภาษีนำเข้าหรือจำกัดโควตาเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้า 50% สำหรับสินค้าที่ทำด้วยทองแดงที่นำเข้ามาจากประเทศจีน รวมไปถึงการเรียกเก็บอัตราภาษีเป็นการเฉพาะอุตสาหกรรม (Sectoral Tariff) 25-50% เช่น เหล็กและอลูมิเนียม สินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น 

3) มาตรา 301 : ว่าด้วยเรื่องของความไม่เป็นธรรมทางการค้า (Unfair Trade Practice) ซึ่งให้อำนาจแก่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในการสืบสวนและตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศคู่ค้า เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม หรือการกีดกันทางการค้า ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2560 รัฐบาลทรัมป์ได้ใช้มาตรา 301 เพื่อตอบโต้จีนในประเด็นการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นำไปสู่การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ากว่า 3.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปัจจุบัน สหรัฐฯ มักอ้างอิงถึงมาตรานี้ในการเรียกเก็บอัตราภาษี Sectoral Tariff ด้วยเช่นกัน เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์ ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงแร่ธาตุสำคัญบางชนิด

4) IEEPA : ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติว่าด้วยการปกป้องสหรัฐฯ จากภัยคุกคามนอกประเทศ หรือ International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรงในการประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” ที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามจากต่างประเทศ โดยสามารถใช้มาตรการกดดันได้หลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการค้า เช่น การอายัดทรัพย์สิน การห้ามทำธุรกรรม หรือการคว่ำบาตร ยกตัวอย่างเช่น การคว่ำบาตรอิหร่านในประเด็นนิวเคลียร์ การอายัดทรัพย์สินขององค์กรก่อการร้าย รวมไปถึงการคว่ำบาตรรัสเซียหลังการผนวกไครเมียในปี 2557 และเหตุการณ์ยูเครนปี 2565 ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้อ้างอิง IEEPA เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล และ 20% จากสินค้าจีน

กล่าวโดยสรุป ด้วยความที่ IEEPA เป็นมาตรการที่ผสานมิติของการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีขอบเขตกว้างกว่ามาตราอื่น จึงไม่แปลกที่มักถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ แม้ตัวเลขอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับหลาย ๆ ประเทศจะไม่ได้สูงอย่างที่เคยประกาศไว้ในตอนแรก อีกทั้งความชอบธรรมของการใช้ Reciprocal Tariff ภายใต้กฎหมาย IEEPA ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการศาล แต่สหรัฐฯ ก็ยังก็ยังสามารถใช้กฎหมายมาตราอื่น ๆ เพื่อสร้างแรงกดดันได้ทั้งในมิติของรายสินค้าและรายประเทศ เช่น การใช้เกณฑ์การบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) ในการสร้างความชอบธรรมเพื่อใช้มาตรการกดดันทางการค้า มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping : AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) โดยเฉพาะการยกระดับความเข้มข้นในการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าภายใต้มาตรา 232 และมาตรา 301 ที่มุ่งเจาะจงไปยังสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะกระทบสินค้าส่งออกและคู่ค้าในวงกว้าง ยิ่งกว่านั้น ในระยะข้างหน้า นโยบายการค้าทั่วโลกจะยิ่งมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเชิงพลวัตมากขึ้น เช่น การบังคับใช้กฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า (Regional Value Chain : RVC) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ซึ่งย่อมจะส่งผลให้การค้าโลกเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้