7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต 

นโยบายการเงินจะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ อย่างน้อยไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2026 แต่เมื่อไหร่ที่สหรัฐหลุดพ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ หรือฉกฉวยโอกาสเติบโตจากเทคโนโลยีได้มากกว่าทั่วโลก เมื่อนั้น ดอลลาร์ก็มีโอกาสจะกลับไปแข็งค่าอีกครั้ง

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจโลก: โดยปกติเศรษฐกิจโลกที่เติบโตดีจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ครั้งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
  • เศรษฐกิจสหรัฐ: แม้เศรษฐกิจจะแข็งแกร่งซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์ แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากปัญหา Government Shutdown ที่อาจลดทอนปัจจัยบวกนี้
  • นโยบายการเงิน: การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในระยะยาวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
  • ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐของนักลงทุนต่างชาติ: แนวโน้มความต้องการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรสหรัฐที่ลดลง เนื่องจากมูลค่าที่แพงและบอนด์ยีลด์ที่คาดว่าจะต่ำลง จะเป็นแรงกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า
  • การเมืองสหรัฐ: ความไม่แน่นอนทางการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อทิศทางดอลลาร์อย่างชัดเจนเหมือนในอดีต เนื่องจากผลกระทบของนโยบายมีความซับซ้อนและขัดแย้งกันเอง
  • Momentum ของดอลลาร์: การที่ดอลลาร์อ่อนค่ามาเป็นเวลานาน ประกอบกับความไม่แน่นอนในยุโรปและญี่ปุ่น ทำให้เกิดการฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น
  • โครงสร้างของดอลลาร์: ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น De-Dollarization และหนี้สาธารณะที่สูง มีแนวโน้มทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า แต่เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและส่งผลน้อยในระยะสั้น

ทิศทางของเงินดอลลาร์อ่อนสลับแข็งและผันผวนไปมาในช่วงที่นี้ทำให้ทั้งนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบาย ต่างตั้งคำถามไปพร้อมกันว่า ต่อจากนี้ดอลลาร์ควรมีทิศทางอย่างไรกันแน่ 

ผมมองว่า “เรื่องราว” ของดอลลาร์มีมากกว่าปรกติ ทั้งเหมือนและต่างกับช่วงเวลาทั่วไปในหลายมิติ ผมจึงรวบรวมเรื่องราวที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ นำมจัดกลุ่ม วิเคราะห์ให้นักลงทุนทุกท่านได้เข้าใจผลกระทบต่อทิศทางของดอลลาร์ เพื่อตัดสินใจไปพร้อมกันว่า อะไรกันแน่คือเหตุผลที่ดอลลาร์ควรแข็งหรืออ่อนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

1. เศรษฐกิจโลก: ปรกติโลกเติบโตดี ดอลลาร์จะแย่ แต่ครั้งนี้ไม่แน่

ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนในอดีต มักชี้ว่ามูลค่าของดอลลาร์มีความสัมพันธ์เชิงลบกับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจนอกสหรัฐ

เช่นในปี 2002-2003 และ 2019 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนให้ตลาดหุ้นนอกสหรัฐสร้างผลตอบแทนดี นักลงทุนจึงโยกเงินออกจากดอลลาร์ไปหาตลาดอื่น ส่งผลให้ดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่า ในทางกลับกัน ช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา หุ้นมักเข้าสู่ตลาดหมี หนุนให้นักลงทนกลับมาถือดอลลาร์

ในครั้งนี้ ผมมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ฟื้นตัวขึ้นจนกดดันดอลลาร์ เนื่องจากมีนโยบายการค้าสหรัฐที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่โดดเด่น

2. เศรษฐกิจสหรัฐ: แข็งแกร่งแต่กำลังมีความเสี่ยงจาก Shutdown

ความสัมพันธ์นี้เป็นส่วนกลับของเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าโลก สินทรัพย์ในสหรัฐมักทำผลตอบแทนดีกว่า หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า

ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2025 ถือว่าดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี หลังจากมีปัญหา Government Shutdown ภาพความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจก็เริ่มแย่ลง หมายความว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ใช่แรงกดดันตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่แรงหนุน ถ้าการเมืองยังไม่ปรกติ

3. นโยบายการเงิน: การลดดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยกดดอลลาร์ในระยะยาว

ความคาดหวังของนโยบายการเงิน มักส่งผลต่อทิศทางดอลลาร์ระยะสั้น ขณะที่ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐกับทั่วโลกส่งผลต่อมูลค่าพื้นฐานระยะยาว

หมายความว่า ในระยะสั้นนโยบายการเงินอาจเป็นแรงหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากตลาดคาดไปก่อนแล้วว่า Fed จะปรับดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 50 bps ในไตรมาสที่สี่

อย่างไรก็ดี ถ้ามองในระยะยาว Fed ต้องลดดอกเบี้ยไปสู่จุดสมดุลใหม่ราว 3.00-3.50% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกต่ำกว่าสหรัฐ นโยบายการเงินจึงยังคงเป็นประเด็นกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงได้อยู่ในอนาคต

4. ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐของนักลงทุนต่างชาติ: ฉุดดอลลาร์อ่อน

ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐของนักลงทุนต่างชาติ จะอ้างอิงสองปัจจัยหลักคือ คาดการณ์ผลตอบแทนของหุ้นตลาดหุ้น และระดับบอนด์ยีลด์ 

นักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในสหรัฐมากที่สุดเมื่อหุ้นเป็นขาขึ้น พร้อมกับยีลด์สูง ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นในช่วงปี 2024 หนุนค่าเงินดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในช่วงที่ Valuation แพง ส่วนบอนด์ยีลด์ก็มีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ภาพความต้องการสินทรัพย์สหรัฐต่อจากนี้จึงเป็นแรงกดดันมากกว่าแรงหนุนสำหรับดอลลาร์

5. การเมืองสหรัฐ: ความไม่แน่นอนทำให้ความสัมพันธ์ขาดช่วง

ในอดีต ดอลลาร์มักแข็งค่าเมื่อนโยบายเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่ในช่วงปี 2025 ทิศทางดอลลาร์กลับไม่ตอบสนองต่อความผันผวนของนโยบายการค้า หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองเหมือนในอดีต

อาจเป็นเพราะผลกระทบของนโยบายการเมืองมีความซับซ้อน ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านนโยบายกับตลาดการเงินไม่ชัดเจน เช่นนโยบายการค้าอาจหนุนดอลลาร์แข็ง แต่มุมมองของ Trump กลับสนับสนุนดอลลาร์อ่อน ทำให้ตลาดเลือกที่จะจับตาประเด็นอื่นเป็นหลักมากกว่า

6. Momentum ของดอลลาร์: ขาลงที่นานเกินไปหนุนดอลลาร์ฟื้นตัว

แนวโน้มการแข็งและอ่อนค่าของดอลลาร์จะมีทั้งรูปแบบ Momentum ระยะกลาง (3-6เดือน) และ Reversal ในระยะสั้น (1เดือน)

ต้นไตรมาสที่สี่ ดอลลาร์เข้าสู่โหมด Reversal สาเหตุเกิดจากดอลลาร์ที่อ่อนค่ามานาน พบกับความไม่แน่นอนของการเมืองยุโรปและญี่ปุ่น ประเทศเจ้าของสองสกุลเงินใหญ่อย่างยูโร (EUR) และเยน (JPY)

อย่างไรก็ดี การกลับตัวจากเหตุผลทางเทคนิค มักเป็นประเด็นที่ตลาดสนใจเพียงในระยะสั้น ส่วนระยะยาวต้องติดตามว่านโยบายเศรษฐกิจหรือการเงินนอกสหรัฐจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน

7. โครงสร้างของดอลลาร์: ส่วนใหญ่มีผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าจริง แต่ทั้งหมด มักใช้เวลานาน

สิ่งที่เราได้ยินบ่อยครั้งในช่วงนี้ คือประเด็นโครงสร้างและสถานะที่เปลี่ยนไปของดอลลาร์ เช่น De-Dollarization การลดขาดดุลด้วยกำแพงภาษี หนี้สหรัฐที่สูงเกินไป จนถึงความเป็นอิสระของ Fed ที่อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าในระยะยาว

แต่เหตุผลทางโครงสร้างเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวที่ส่งผลเพียงเล็กน้อยในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ก็มักมีความเร่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ตลาด ต้องรอความต่อเนื่องในอนาคตอีกมาก

โดยสรุป 7 ปัจจัยข้างต้นกำลังบอกเราว่า การแข็งค่าของดอลลาร์ช่วงนี้อาจยังไม่ใช่ “จุดเปลี่ยนทิศ” แต่ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์ก็อาจไม่อ่อนค่าตลอดไปเช่นกัน

ในมุมมองของผม นโยบายการเงินจะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ อย่างน้อยไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2026 แต่เมื่อไหร่ที่สหรัฐหลุดพ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ หรือฉกฉวยโอกาสเติบโตจากเทคโนโลยีได้มากกว่าทั่วโลก เมื่อนั้น ดอลลาร์ก็มีโอกาสจะกลับไปแข็งค่าอีกครั้งครับ