ปรับพอร์ตอริยทรัพย์ (2): แผนปฏิบัติและเครื่องมือ

ปรับพอร์ตอริยทรัพย์ (2): แผนปฏิบัติและเครื่องมือ

แผนปฏิบัติการปรับพอร์ตอริยทรัพย์ใช้หลักมรรค 8 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ปัญญา (วิสัยทัศน์และการกำหนดทิศทาง), ศีล (การกำกับดูแลและควบคุมความเสี่ยง), และสมาธิ (กำลังและการจัดสรรทรัพยากร)

KEY

POINTS

  • แผนปฏิบัติการปรับพอร์ตอริยทรัพย์ใช้หลักมรรค 8 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ปัญญา (วิสัยทัศน์และการกำหนดทิศทาง), ศีล (การกำกับดูแลและควบคุมความเสี่ยง), และสมาธิ (กำลังและการจัดสรรทรัพยากร)
  • ส่วนของ "ปัญญา" ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ (การมองตามจริง) และสัมมาสังกัปปะ (เจตนาที่ถูกต้อง)
  • ส่วนของ "ศีล" ประกอบด้วย สัมมาวาจา (การสื่อสารสร้างสรรค์), สัมมากัมมันตะ (การกระทำที่ถูกต้อง), และสัมมาอาชีวะ (การทำงานที่สุจริต)
  • ส่วนของ "สมาธิ" ประกอบด้วย สัมมาวายามะ (การใช้ความพยายามที่ถูกทาง), สัมมาสติ (การติดตามกำกับแบบ Real-Time), และสัมมาสมาธิ (การจดจ่อเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง)
  • เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงมรรคอย่างเป็นรูปธรรมคือ "สติปัฎฐาน 4" หรือฐานที่ตั้งแห่งสติ
  • สติปัฎฐาน 4 ประกอบด้วยฐาน "กาย" (ร่างกาย), "เวทนา" (ความรู้สึก), "จิต" (ความคิด), และ "ธรรม" (กระบวนการของจิต)
  • เทคนิคการปฏิบัติคือให้ใช้สติจับหรือรู้ในฐานที่ "ชัดเจน" ที่สุดในขณะนั้น และพยายามกลับมาเป็น "ผู้ดู" แทนที่จะเป็น "ผู้เล่น" เมื่อเผลอเข้าไปในอารมณ์หรือความคิด

การปรับพอร์ตอริยทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าตามกาลเวลา ทำได้ผ่านแผนปฏิบัติ (Action Plan) ที่ครอบคลุมมิติต่างๆ ของกิจการชีวิต โดยแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลัก คือ

1. วิสัยทัศน์และการกำหนดทิศทาง: ปัญญา

· สัมมาทิฏฐิ (Right View): คือ การมีวิสัยทัศน์ หรือมองสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง เหมือนธุรกิจที่ต้องมีวิสัยทัศน์ชัดเจน มองตลาดและสนามแข่งขันได้ทะลุปุโปร่ง ซึ่งสำหรับกิจการชีวิต สิ่งสำคัญคือการมองโดยตั้งบนฐานความจริงภายใต้กฎไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง คงสภาพเดิมไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ และอริยสัจ 4 ที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว

· สัมมาสังกัปปะ (Right Intention): คือ การมีเจตนาที่ถูกต้อง เป็นหัวใจของทุกความคิดริเริ่มและทุกการตั้งวัตถุประสงค์ก่อนเริ่มกระทำ โดยต้องมุ่งจากความตั้งใจที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้มุ่งทำร้าย หรือเบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่ตัวคูณของผลกำไรหลายเท่าตัว แต่หากมีเจตนาในทางตรงกันข้าม ผลกำไรอาจไม่เหลือ แม้จะบังเอิญเกิดผลลัพธ์ที่ดีก็ตาม

2. การกำกับดูแลและควบคุมความเสี่ยง: ศีล

· สัมมาวาจา (Right Speech): คือ การพูด การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ จริงใจ เป็นประโยชน์

· สัมมากัมมันตะ (Right Action): คือ การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง ตามหลักธรรมาภิบาล หลีกเลี่ยงการกระทำเชิงลบ เช่น ทำร้ายผู้อื่น เอาของผู้อื่นมาเป็นของเรา

· สัมมาอาชีวะ (Right Livelihood): คือ การรูปแบบการทำงาน หรือทำธุรกิจที่สุจริต ไม่แสวงหากำไรจากช่องทางที่ผิด จากช่องโหว่ หรือจากการหลอกลวง

3. กำลังและการจัดสรรทรัพยากร: สมาธิ

· สัมมาวายามะ (Right Effort) : คือ การขยัน การพยายามจัดสรรทรัพยากรที่มีไปใช้ในทางที่ถูกต้อง เทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้ได้คือหลัก 80/20 คือการทุ่มเทให้กับกิจกรรม 20% ที่สร้างผลลัพธ์ที่ใช่ 80% และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เป็นโทษ

· สัมมาสติ (Right Mindfulness) : คือ การใช้สติ ติดตามกำกับ เป็น “Real-Time Monitoring” ในทุกกิจกรรม ทุกการกระทำทั้งกาย วาจา ใจ ไปรับรู้เข้าใจ หรือตรวจสอบเพื่อให้ฉุกคิด ป้องกันความผิดพลาด

· สัมมาสมาธิ (Right Concentration) : คือ การใช้สมาธิ จดจ่อเพื่อเพิ่มการรับรู้ เจาะลึกความเข้าใจให้ชัดเจน และตัดสิ่งรบกวนที่ดึงเราไปจากเป้าหมายหลัก

แล้วความสำคัญของความเข้าใจใน มรรค 8 นั้นมากขนาดไหน?

คำตอบคือ มากในกระดับที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ตราบใดที่ Know-how เรื่องมรรค 8 ยังอยู่ โลกก็มีอริยบุคคลใหม่เกิดขึ้นได้

ในทางกลับกัน คำสอนไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม หากไม่มีมรรค 8 เป็นแกนหลัก หรือกระบวนการหลัก ก็พาคนไปถึงปลายทางแห่งการพ้นทุกข์ไม่ได้

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงให้ “เครื่องมือ” ที่ใช้ในการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงมรรคอย่างเป็นรูปธรรมกับเราด้วย เครื่องมือนั้นคือ “สติปัฎฐาน 4” หรือแปลว่า “ฐานที่ตั้งแห่งสติ” ระหว่างอ่านที่ผมอธิบาย ลองคิดตามและเอาสติไปจับดูด้วยได้นะครับ

· ฐานที่ 1 “กาย” คือ การใช้สติตามดูร่างกาย และการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจริง เช่น ลมหายใจ เข้า-ออก ท้องที่รับลมหายใจ พอง-ยุบ อิริยาบถเดิน ยก (เท้า)-ย่าง-เหยียบ

· ฐานที่ 2 “เวทนา” คือ การใช้สติตามดูความรู้สึก หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยแบ่งได้เป็นหลักๆ 3 ประเภท คือ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์) (หรือถ้าแบ่งอย่างละเอียดก็จะได้ถึง 108 ประเภท!)

· ฐานที่ 3 “จิต” คือ การใช้สติตามดูสิ่งที่แว้บขึ้นมาในหัว โดยฐานจิตจะมีการทำงานแบ่งได้เป็น 2 โหมดคือ “คิด” กับ “รู้” (ว่ามีอะไรมากระทบ) เมื่อเกิดความคิด ก็ให้รู้ตัวว่าเรากำลังคิดอยู่ การคิดแบบมีสติตามรู้จะทำให้เกิดความคิดแบบปัญญา พอไขปัญหาได้เสร็จความคิดก็จะ “ตัด” เช่น คิดวางแผนว่าวันนี้จะเดินทางอย่างไรดี ในขณะที่คิดแบบไม่มีสติตามรู้จะกลายเป็นคิดแบบกิเลส เช่น เริ่มลอยฟุ้งไปถึงสถานที่ที่จะไป จนความรู้สึกเหมือนเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้วความคิดก็จะ “ต่อ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะถูกสติเรียกกลับคืนมา

· ฐานที่ 4 “ธรรม” คือ การใช้สติตามรู้กระบวนการ (หรือ Process) ของจิต เช่น นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 จนเห็นความจริงของกระบวนการเหล่านี้ (ซึ่งฐานเวทนา-จิต-ธรรม มีรายละเอียดที่สามารถลงลึกขึ้นได้พอสมควร จึงขอขยายความต่อในตอนถัดๆ ไปนะครับ)

แล้วฐานเยอะขนาดนี้ บางทีก็เกิดขึ้นพร้อมกัน จะเอาสติไปจับตรงไหนก่อนดี?

เทคนิคคือ ให้เอาไปจับหรือรู้ตรงที่ “ชัดเจน” ที่สุดครับ โดยไม่ต้องกังวัลว่าตรงไหนจะถูกหรือผิด ถ้าฐานที่ชัดย้ายไป ก็แค่เอาสติย้ายตาม เริ่มต้นอาจลองทำช้าหน่อย สักพักจะเริ่มคล่อง สติจะเริ่มสามารถหมุนไปตามฐานต่างๆ ได้เร็วขึ้น และลึกขึ้น

จนอาจเริ่มเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ความละเอียดที่ไม่เคยรู้ ถ้าเราเจอสิ่งที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็แค่ตามรู้ไปเรื่อยๆ บางทีไม่รู้ว่าสิ่งนี้ หรือธรรมะข้อนี้เรียกว่าอะไร ก็อย่าไปกังวล แค่ไปดู แค่ไปรู้มัน

ถ้าเผลอถูกดึงไปเป็น “ผู้เล่น” บ้าง อาจมีตื่นตาตื่นใจหรือเศร้าหมอง แต่พอได้ “สติ” ก็แค่กลับมาเป็น “ผู้ดู” แม้แต่ความอยากในการรู้ธรรม หรือความภูมิใจที่ได้เห็นธรรมแล้ว หากผุดขึ้นมาในใจ ก็แค่ดูมัน ไม่ไปตามมัน

เมื่อนั้นล่ะครับ ประตูสู่มรรค ได้เริ่มเปิดแล้วครับ