ธปท. ร่อนจดหมายเปิดผนึก แจง "เงินเฟ้อ" ปีนี้-ปีหน้า ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ย้ำยังไม่เสี่ยงเงินฝืด

ธปท. ร่อนจดหมายเปิดผนึก แจง "เงินเฟ้อ" ปีนี้-ปีหน้า ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ย้ำยังไม่เสี่ยงเงินฝืด

ธปท. ชี้แจงเงินเฟ้อไทยต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ทั้ง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 12 เดือนข้างหน้า ย้ำยังไม่เสี่ยงเงินฝืด พร้อมเดินหน้านโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

ล่าสุด ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมัยยังดำรงตำแหน่ง ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือน ที่ผ่านมา และ 12 เดือนข้างหน้าต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567

โดย กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568 โดยระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย 

โดยระบุว่าขณะนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนย้อนหลัง (สิงหาคม 2567 – กรกฎาคม 2568) อยู่ที่ร้อยละ 0.5 และคาดว่าอีก 12 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2568 – กรกฎาคม 2569) จะยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย

จึงได้จัดทำคำชี้แจงใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) ความหมายของเงินเฟ้อต่ำ และนัยต่อเศรษฐกิจ (2) บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ และ (3) แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

  • เงินเฟ้อต่ำ และนัยต่อเศรษฐกิจ

กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ร้อยละ 1–3 มีจุดประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยยอมให้เงินเฟ้อผันผวนได้บ้างในระยะสั้น ตราบใดที่ไม่สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพราคา และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต

ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบันไม่ได้เป็นความเสี่ยง เนื่องจากเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืดหรือการชะลอตัวทางอุปสงค์

  • เงินเฟ้อต่ำมาจากปัจจัยด้านอุปทาน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเพราะราคาพลังงานและอาหารสดปรับลดลง โดยราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันโลก จากเฉลี่ย 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เหลือ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (สิงหาคม 2567 – กรกฎาคม 2568)

จากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก และมาตรการภาครัฐในการลดค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหมวดพลังงานหดตัวร้อยละ 1.7 ส่วนหมวดอาหารสดขยายตัวเพียงร้อยละ 0.6 เนื่องจากผลผลิตเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่ดี และฐานสูงจากภัยแล้งในปีก่อน ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ร้อยละ 1.0

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.9 สะท้อนว่าผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาขายน้อย เนื่องจากราคาพลังงานลดลง

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าเพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การแข่งขันสูงจากสินค้าต่างประเทศ คุณภาพแรงงานและเทคโนโลยีที่ยังด้อย ส่งผลให้ภาคธุรกิจปรับราคาขึ้นได้ยาก เงินเฟ้อที่ต่ำจึงสะท้อนข้อจำกัดของภาคการผลิตมากกว่าจะเป็นสาเหตุของเศรษฐกิจชะลอ ทั้งนี้ ผลสำรวจภาคธุรกิจ 571 ราย ในเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า อุปสรรคหลักต่อการลงทุนคือ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน ไม่ใช่เงินเฟ้อที่ต่ำ

  •  เงินเฟ้อต่ำไม่ใช่ภาวะเงินฝืด และช่วยบรรเทาค่าครองชีพ

กนง. ยืนยันว่าแม้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังไม่เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เพราะการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 2.5 และ 2.1 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2568 สินค้า และบริการกว่า 60% ในตะกร้าเงินเฟ้อยังมีราคาทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ราคาลดลงส่วนใหญ่เป็นหมวดพลังงาน และอาหารสดจากปัจจัยอุปทานเท่านั้น

ขณะเดียวกัน การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะปานกลางยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยนักเศรษฐศาสตร์จาก Asia Pacific Consensus Economics (เมษายน 2568) และข้อมูลตลาดการเงิน (มิถุนายน 2568) คาดว่าเงินเฟ้อใน 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ราวร้อยละ 1.6 ส่วนค่าจ้างแรงงานในครึ่งแรกของปี 2568 ยังขยายตัวร้อยละ 4.6 จึงไม่พบสัญญาณว่าค่าจ้างลดลงตามเงินเฟ้อ

แม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ค่าครองชีพประชาชนยังอยู่ในระดับสูง เพราะราคาสินค้าหลายรายการเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2565 และยังไม่ปรับลดลง

เช่น เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ยังสูงกว่าก่อนโควิดประมาณร้อยละ 20 รวมถึงอาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ยังขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในภาวะที่รายได้เติบโตช้า หนี้ครัวเรือนสูง และต้นทุนภาคธุรกิจยังมาก อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจึงช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ และรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ

  • บทบาทของนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน

โดยนโยบายการเงินต้องคำนึงถึงเสถียรภาพโดยรวม ภายใต้กรอบ Flexible Inflation Targeting (FIT) กนง. ดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน โดยมีกรอบเงินเฟ้อร้อยละ 1–3 เป็นหลักยึดให้สาธารณชนมั่นใจต่อแนวโน้มระยะกลาง

ทั้งนี้ กนง. ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ และการเงิน โดยไม่จำเป็นต้องคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบตลอดเวลา หากการทำเช่นนั้นจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ

ในปี 2568 กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้ง รวมร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 1.50 เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงจากความเสี่ยงด้านต่างประเทศและภาวะสินเชื่อตึงตัว

โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ การลดดอกเบี้ยจึงมีเป้าหมายให้ภาวะการเงินผ่อนคลาย และช่วยลดภาระดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน กนง. ประเมินว่าเงินเฟ้อต่ำในปัจจุบันไม่ได้กระทบเสถียรภาพราคา และไม่ใช่สาเหตุของเศรษฐกิจชะลอ ส่วนความเสี่ยงต่อระบบการเงินลดลงจากกระบวนการลดหนี้ของภาคครัวเรือน และธุรกิจ (deleveraging) ที่ดำเนินอยู่ต่อเนื่อง

กนง. ย้ำว่าการดำเนินนโยบายที่ผ่านมาไม่ได้ “ช้าเกินไป” เพราะได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไว้ล่วงหน้าแล้ว และตัวเลขที่ออกมายังเป็นไปตามคาด เมื่อเศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง กนง. จะคงแนวทางนโยบายแบบ “outlook dependent” พร้อมปรับเปลี่ยนได้หากเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าคาด

  • การลดดอกเบี้ยมากกว่านี้ไม่ช่วยให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเร็วขึ้น

กนง. เห็นว่าการผ่อนคลายนโยบายมากกว่าปัจจุบันไม่ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเงินเฟ้อที่ต่ำเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานซึ่งนโยบายการเงินควบคุมไม่ได้โดยตรง

อีกทั้งเศรษฐกิจชะลอจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวจึงมีผลจำกัด ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอดีต และต่างประเทศ การลดลงมากกว่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงระยะยาว เช่น การก่อหนี้เกินตัว หรือการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ

กนง. ยังต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy buffer) เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในอนาคต ดังนั้น การดำเนินนโยบายจึงต้องควบคู่กับมาตรการอื่น เช่น กลไกค้ำประกันสินเชื่อ หรือการสนับสนุนให้ SMEs เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพมากกว่าอาศัยดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว

  • แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยู่ในระดับต่ำในระยะต่อไป ภายใต้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันโลกทรงตัวในระดับต่ำจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่ม และคาดว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ภายใน ไตรมาสที่ 1 ปี 2570 จากการที่ตลาดน้ำมันเข้าสู่สมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวใกล้ร้อยละ 1 ตลอดปี 2568–2570

ธปท. จะติดตามพัฒนาการเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อระยะปานกลางไม่สูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุน และความสามารถในการแข่งขัน โดยความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ

(1) การชะลอลงของราคาในวงกว้างจนทำให้เงินเฟ้อระยะกลางหลุดกรอบ

(2) ความผันผวนของราคาพลังงานโลกจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
และ

(3) การปรับห่วงโซ่อุปทาน และการแข่งขันในภูมิทัศน์การค้าโลกใหม่

ตามข้อตกลงระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากในอีก 6 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนย้อนหลังหรือคาดการณ์ล่วงหน้า ยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะจัดทำ “จดหมายเปิดผนึก” ชี้แจงต่อรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อยืนยันความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนในการดูแลเสถียรภาพราคา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์