ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14 ต.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ขัดแย้งการค้าสหรัฐ-จีน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14 ต.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ขัดแย้งการค้าสหรัฐ-จีน

ค่าเงินบาทวันนี้ 14 ต.ค.68 เปิดตลาด“แข็งค่า“ ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้ตลาดกังวลขัดแย้งการค้าสหรัฐ-จีน มองกรอบเงินบาทวันนี้ 32.45-32.65 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 14 ต.ค. แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 32.72 บาทต่อดอลลาร์
  • การแข็งค่าของเงินบาทสวนทางกับเงินดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
  • นักวิเคราะห์มองว่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะกลับมาอ่อนค่า หากราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไร หรือความขัดแย้งทางการค้ากดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าลง
  • กรอบค่าเงินบาทสำหรับวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.65 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.61 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.72 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 10 ตุลาคม) มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.30-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.65 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้าและวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.74 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์ จะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้าง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14 ต.ค.68 ‘แข็งค่า‘ ขัดแย้งการค้าสหรัฐ-จีน

อีกทั้งความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ ผ่านการอ่อนค่าลงของทั้ง เงินยูโร (EUR) และ เงินเยน ญี่ปุ่น (JPY) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าว กลับไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด หลังเงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ ราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ล่าสุดสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ เหนือโซน 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความต้องการถือครองของผู้เล่นในตลาดจากประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง 

แนวโน้มค่าเงินบาท 

เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้อ่อนกำลังลง หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นก็ตาม หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง 

หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยคลายกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลงบ้าง (จากโพสล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บน Truth Social ที่ระบุว่า “The USA wants to help China, not hurt it”) จุดกระแส TACO (Trump Always Chickens Out) Trade ให้กลับมาอีกครั้ง

ทั้งนี้ เรายังมีความกังวลว่า เงินบาท อาจเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อได้ โดยเฉพาะ หาก ราคาทอง (ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์) เผชิญแรงขายทำกำไรและเริ่มเข้าสู่ช่วงการพักฐาน สอดคล้องกับข้อมูลสถิติในอดีต ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้ นอกจากนี้ หากตลาดกลับมากังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มากขึ้น จนกดดันให้เงินหยวนจีน (CNH) อ่อนค่าลง ก็อาจส่งผ่านแรงกดดันด้านอ่อนค่ามายังเงินบาทได้ ทว่า เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุน หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นบ้าง พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์คงเสี่ยงเผชิญ Two-way risk โดยต้องจับตาทั้งประเด็น สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นและเงินยูโรได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเผชิญความปั่นป่วน หลังประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

 

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะ Data Blindness หรือขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ที่ทำให้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญถูกเลื่อนออกไป ทำให้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ ประธานเฟด Jerome Powell และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากภาคเอกชนและบรรดาเฟดสาขา อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) ดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคธุรกิจบริการ โดยเฟดสาขานิวยอร์ก รวมถึงดัชนีแนวโน้มภาคธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา พัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้ง กลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่ อย่าง JPM, Goldman Sachs และ BofA รวมถึงกลุ่ม AI/Semiconductor อาทิ ASML และ TSMC 

▪ ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Survey) ในเดือนตุลาคม และยอดผลผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซน (Industrial Production) เดือนสิงหาคม ส่วนในฝั่งอังกฤษ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOE จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปี 2026 (โอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ อยู่ที่ 24%)

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาท่าทีของทางการจีนอย่างใกล้ชิด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเพิ่มเติมอีก 100% และออกมาตรการควบคุมการส่งออก “Critical Software” เพื่อตอบโต้ที่ทางการจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออก แร่ Rare Earth นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนกันยายน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า เศรษฐกิจจีนยังไม่พ้นภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงติดลบราว -0.2% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตก็ติดลบราว -2.3% อย่างไรก็ดี นโยบาย Anti-Involution ของจีน ที่ช่วยลดกำลังการผลิตส่วนเกิน ก็มีส่วนหนุนให้ราคาสินค้า อย่าง วัตถุดิบต่างๆ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตติดลบน้อยลง จากที่ ติดลบถึง -2.9% ในเดือนสิงหาคม 

▪ ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยอาจเผชิญผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังหมดอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทย (Front-Loading) ในช่วงก่อนหน้า โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวเพียง +9%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตราว +10%y/y ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด อาจสร้างความวุ่นวายให้กับการค้าโลกอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตาว่า การส่งออกของไทยจะยังได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทยอีกรอบหรือไม่