เตือนจับตา หุ้นสหรัฐ-ทองคำ-บิตคอยน์ จุดเปลี่ยน เสี่ยง‘ฟองสบู่’

เตือนจับตาความเสี่ยง‘ฟองสบู่’ ‘หุ้นสหรัฐ-ทองคำ-บิตคอยน์’ ทำ ‘ออลไทม์ไฮ’ พร้อมกัน กูรูชี้จุดเปลี่ยนเกมส์ ในพริบตา
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า หุ้นสหรัฐ ทองคำ และบิตคอยน์ ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่เต็มตัว แม้ราคาทั้งสามสินทรัพย์จะพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่เตือนให้จับตาจุดเปลี่ยนที่อาจทำให้สถานการณ์พลิกผัน
- ตลาดหุ้นสหรัฐมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หากกำไรของบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี AI เริ่มชะลอตัว หรือหากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด
- ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะกลางถึงยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องระวังคือหากธนาคารกลางจีนหยุดการเข้าซื้อทองคำ
- บิตคอยน์ถูกมองว่ามีความเสี่ยงเกิดฟองสบู่มากที่สุดในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากราคาอยู่ในโซนสูง และมีความผันผวนรุนแรงจากปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
“ตลาดการเงินโลก”อยู่ในช่วงที่ “น่าจับตา” แม้ “กูรู” ยันยังไม่เข้าสู่ “ภาวะฟองสบู่เต็มตัว” เตือนเตรียมรับ “เปลี่ยนเกมในพริบตา” ชี้ตลาดหุ้นสหรัฐเสี่ยงฟองสบู่ หากกำไรบริษัทเริ่มชะลอตัว ระบุแนวโน้มราคาทองคำยังบวกกลางถึงยาว ห่วง“ฟองสบูเอไอ”-ราคาบิตคอยน์ปรับลงแรงผลพวงศึกสหรัฐ-จีน
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” ส่งสัญญาณ “เร่งตัว” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเดือนต.ค.เมื่อ “3 สินทรัพย์หลัก” ได้แก่ หุ้นสหรัฐ ทองคำ และ บิตคอยน์ พุ่งขึ้นทะลุสถิติทำ “ออลไทม์ไฮ” (All Time High) พร้อมกัน
สร้างความตื่นเต้นและเกิดคำถามใหญ่ของ “นักลงทุน” ว่า นี่คือ“จุดเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่”หรือเป็นเพียง “โอกาสทอง”สำหรับการลงทุนครั้งใหม่
โดย “กูรู” ใน ตลาดเงิน-ตลาดทุน ต่างชี้ชัดว่า “ยังไม่ใช่ฟองสบู่” แต่เริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างซึ่งตลาดเริ่มจับตามอง “จุดเปลี่ยน” ที่อาจทำให้สถานการณ์พลิกผันได้
สะท้อนผ่าน “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้น 17% และ Nasdaq ปรับขึ้น 19% นับตั้งแต่ต้นปี แรงหนุนสำคัญมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ราคาทองคำ “ทองโลก” พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,049.52 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับขึ้นถึง 55.10% และทำ All Time High มากกว่า 39 ครั้งในปีนี้ ส่วน “ทองไทย” ปรับขึ้น 55% โดยราคาทองแท่งขายสูงสุดที่ 62,350 บาท
ปัจจัยหนุนหลักมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก, แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), และการเข้าซื้อทองคำจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ทั่วโลก
"บิตคอยน์" (Bitcoin) ราคาพุ่งทะลุ 123,000 ดอลลาร์ ปรับขึ้น 23.07% และทำ All Time High หลายครั้งในช่วงกลางปี (ก.ค.-ก.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวกองทุน ETF บิตคอยน์, การสนับสนุนจากภาครัฐ (GENIUS Act) และการเข้าลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Strategy และ K Wave Media
“หุ้นสหรัฐ” ยังไม่เข้าเงื่อนไข “ฟองสบู่”
ดร.วิศกรณ์ คีรีวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐยังไม่เข้าเงื่อนไขหลักของภาวะฟองสบู่ 3 ข้อ คือ ราคาไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน, การเก็งกำไรเข้มข้น และการใช้ Margin สูง
ขณะที่P/E สูงแต่มีเหตุผล โดย Forward P/E ของ S&P 500 จะสูงที่22.5-22.8 เท่า แต่เป็นผลมาจากการที่นักวิเคราะห์ “กดประมาณการกำไรลง” ทำให้ตัวเลข P/E ดูสูงเกินจริง
ส่วนเก็งกำไรยังต่ำ จากสัดส่วนการใช้บัญชี Margin ต่อปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอยู่ที่เพียง 0.4 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 0.5 เท่าในช่วงที่มีการเก็งกำไรอย่างเข้มข้น
“จุดเปลี่ยนที่ตลาดหุ้นสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ได้หากกำไรของบริษัทเริ่มชะลอตัว และไม่สามารถเปลี่ยนเงินลงทุน (CAPEX) ให้กลายเป็นกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Monetization) ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะฟองสบู่”
ดังนั้น ตราบใดที่บริษัทยังคงสามารถสร้างกำไรและมีแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยังคงได้รับการประเมินว่ามีราคาที่สูงจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่จากการเก็งกำไรที่ไร้เหตุผล ทำให้ยังเป็น “โอกาสทอง” สำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะยาว
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเสริมว่า กำไรของบริษัทเทคโนโลยี (AI, ชิป) ในกลุ่ม S&P 500 ยังคงเติบโตดีระดับ 10-20% และเศรษฐกิจสหรัฐยังดีกว่าคาด (GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตถึง 3.8%)
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่ต้องระวังหากตลาดหุ้นสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ นั่นคือ หากกำไรของบริษัทเริ่มชะลอตัว หรือหากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด อาจเกิดแรงขาย “Sell on Fact” ในระยะสั้นได้
“ราคาทองคำ” ยังไม่ใช่ “ฟองสบู่”
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) บอกว่า การปรับขึ้นของราคาทองคำมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก และความต้องการทองคำจากภูมิภาคเอเชีย ทำให้ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และสถาบันการเงิน
คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสแตะ 4,900-5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในช่วงกลางปีหน้า
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG มองว่า แนวโน้มราคาทองคำยังเป็นบวกในระยะกลางถึงยาว
มีเป้าหมายที่4,000 และ 4,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์และสำหรับทองไทยมองเป้าหมายที่61,600-68,000 บาท
นายธีรรัฐ จุฑาวรากุลกรรมการผู้จัดการ อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด เตือนว่าราคาทองคำอาจมีการปรับฐานลงคล้ายวิกฤตซับไพรม์ หากธนาคารกลางจีนหยุดซื้อทองคำซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด
แนะนำนักลงทุนเตรียมรับแรงย่อตัว4,000–5,000 บาทในระยะสั้น ก่อนเข้าสู่ขาขึ้นระยะกลางถึงยาว
“บิตคอยน์”โอกาสฟองสบู่ไตรมาส 4
นายธนลภย์ ปรีดามาโนช ผู้จัดการเงินทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า“ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี” โดยเฉพาะ “บิตคอยน์” แนวโน้ม “มีโอกาสเกิดฟองสบู่ในไตรมาส 4 ของปีนี้” เนื่องจากตลาดทำจุดสูงสุดใหม่และอยู่ในโซนสูง แต่ก็ย้ำว่าฟองสบู่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากนักลงทุนสามารถเข้าและออกในจังหวะที่เหมาะสม
แนะนำว่า เมื่อมีสัญญาณใดสัญญาณหนึ่งเริ่มขึ้น ควรเริ่มทยอยขายทำกำไร (Take Profit) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานของตลาด
“แนวโน้มไตรมาส 4 นี้ แม้จะมีการปรับฐานระยะสั้น จากการเข้าสู่โซนราคาสูง แต่แรงหนุนจากสภาพคล่องและข้อมูล on-chain ยังชี้ว่า ราคาบิตคอยน์ยังมีโอกาสไปต่อ”
ทั่วโลกเริ่มเตือนฟองสบู่ AI
หน่วยงานด้านเศรษฐกิจหลายแห่งทั่วโลกเริ่มออกโรงเตือนเกี่ยวกับ “ฟองสบู่เอไอ” กันมากขึ้นหลังจากตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐและทั่วโลกเดินหน้าพุ่งทำสถิติสูงสุด ATH โดยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังสุ่มเสี่ยงต่อความผันผวนและสงครามการค้า
คริสตาลินา กิออร์กิเอวา กรรมการผู้จัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับ “ฟองสบู่ดอตคอม” เมื่อราว 25 ปีก่อน โดยกล่าวว่า “การประเมินมูลค่าในวันนี้ กำลังเข้าใกล้ระดับเดียวกับช่วงที่โลกคลั่งไคล้อินเทอร์เน็ตเมื่อ 25 ปีก่อน” เธอเตือนว่า “หากเกิดการปรับฐานอย่างรุนแรงขึ้นจริง สภาพคล่องทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เปิดเผยจุดเปราะบาง และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นพิเศษ”
อดัม สเลเทอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford Economics กล่าวว่า กำลังเห็นอาการหลายอย่างที่เข้าข่ายฟองสบู่ในตลาดปัจจุบัน” เช่น ราคาหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว, สัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคในดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้นจนเกือบ 40%, การประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินความเป็นจริง
"บรรยากาศของความมั่นใจเกินเหตุในเทคโนโลยีนี้ ทั้งที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันจะให้ผลลัพธ์จริงมากเพียงใด”
สื่อเปิดดีล 'เงินวนลูป’ ยักษ์เทคฯ AI
บลูมเบิร์กรายงานว่า ท่ามกลางดีลยักษ์เหล่านี้ เม็ดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์กลับ “หมุนวน” ระหว่างบริษัทเทคฯเพียงไม่กี่ราย และศูนย์กลางของแรงหมุนครั้งนี้คือ “Nvidia” และ “OpenAI” ผู้จุดประกายกระแส AI แห่งศตวรรษ เมื่อพันธมิตรกลายเป็นทั้งเจ้าหนี้ นักลงทุน และผู้ซื้อในเวลาเดียวกัน
เกือบทุกครั้งที่มีกระแสข่าวดีลออกมา ก็จะเป็น “แรงส่ง” ให้มูลค่าหุ้นพุ่งแรงขึ้นไปอีก จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า มูลค่าหุ้นระดับสูงเช่นนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประกอบการจริง หรือเพียงแรงคาดหวังที่อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาวกันแน่
ไบรอัน โคเลลโล นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าวถึงการที่ Nvidia ลงทุนใน OpenAI ว่า “ถ้าอีกปีหนึ่งข้างหน้า ฟองสบู่ AI แตกขึ้นจริง ดีลนี้อาจเป็นหนึ่งใน ‘ร่องรอยแรก’ ของปัญหา”
ตลาดกระทิงสหรัฐครบรอบ 3 ปี
ภาวะตลาดกระทิงของหุ้นสหรัฐครบวาระ 3 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่หากดูจากประวัติศาสตร์นักวิเคราะห์เตือนว่า กระแสขาขึ้นอาจไปต่อได้ยาก หากการปรับตัวไม่ “กระจายวงกว้าง” กว่านี้
ดัชนี S&P 500 เริ่มต้นรอบตลาดกระทิงปัจจุบันเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2022 และจนถึงปัจจุบันพุ่งขึ้นแล้วราว 83% เพิ่มมูลค่าตลาดรวมกว่า 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่ตลาดจะปรับฐานเมื่อวันศุกร์จากแรงเทขายหลังประธานาธิบดีทรัมป์ ขู่จะ “ขึ้นภาษีครั้งใหญ่” ต่อสินค้าจีน การปรับขึ้นสะสมอยู่ที่ 88%
ถึงแม้ตลาดจะอ่อนแรงในระยะสั้น แต่การเพิ่มขึ้น 13% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ 3 ของตลาดกระทิงทั่วไปถึง สองเท่า ตามข้อมูลของบริษัท CFRA Research
ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ อัตราส่วนราคาต่อกำไรย้อนหลัง (Trailing P/E) ของ S&P 500 อยู่ที่ 25 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับตลาดกระทิงในปีที่ 3
ความเสี่ยงคลุมโลกทำทองคำพุ่ง
ราคาทองคำโลกใช้เวลาเพียงไม่ถึง 20 ปี ในการขยับจากหลักไมล์ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อช่วงวิกฤติซับไพรม์ปี 2008 ไปทะลุ 4,000 ดอลลาร์ในวันนี้
แม้ราคาจะปรับขึ้นไปแล้วถึงราว 50% ในปีนี้ แต่ราคาทองยังไม่เห็นจุดสต็อป โดยล่าสุดราคาทองคำตลาดสปอต (Spot gold) เพิ่งจะขึ้นไปทำราคาสูงสุบทุบสถิติเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ 4,078.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อยหลังจากนั้น โดยเป็นผลจากความกังวลเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังสหรัฐขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจีน 100% เพื่อตอบโต้เรื่องที่จีนจำกัดการส่งออกแร่หายาก ส่วนจีนก็ประกาศจะตอบโต้กลับเช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ รายงานของ Syz Group บริษัทจัดหาเงินทุนสัญชาติสวิสยังระบุว่า ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกถือทองคำในฐานะทุนสำรองมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 หรือครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี
ตลาดการเงินขณะนี้ประเมินว่า มีความเป็นไปได้เกือบแน่นอนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 28-29 ต.ค. นี้ และอาจลดอีกหนึ่งครั้งในเดือนการประชุมครั้งสุดท้ายของปีเดือนธ.ค.
‘บิตคอยน์’ ก็ทำ All-time high
นอกจากทองคำและหุ้นสหรัฐแล้ว “คริปโทเคอร์เรนซี” ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ทำราคาสูงสุดทุบสถิติใหม่หลายครั้งในปีนี้ โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. “บิตคอยน์” (Bitcoin) ทำสถิติใหม่ขึ้นไปแตะระดับ 126,183.22 ดอลลาร์ต่อบิตคอยน์ ทำให้มูลค่าตลาดทะลุ 2.51 ล้านล้านดอลลาร์ จากแรงหนุนของนักลงทุนสถาบัน ภายหลังรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีการปรับกฎเกณฑ์หลายอย่างตั้งแต่ต้นปีที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์ปรับลงแรงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา จากผลพวงความกังวลที่ปธน.ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่กับจีน 100% ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลร่วงลงหนัก ราคาบิตคอยน์ดิ่งลงแตะ 112,580 ดอลลาร์ต่อบิตคอยน์
ข้อมูลจากเว็บไซต์ CoinGlass data. ระบุว่า นักเทรดคริปโทเคอร์เรนซีมากกว่า 1.5 ล้านคน ต้องเจอการบังคับขายสินทรัพย์ หรือล้างพอร์ต มากถึงราว 9.55 พันล้านดอลลาร์ (กว่า 3.1 แสนล้านบาท) ภายใน 24 ชั่วโมง







