‘อินเตอร์โกลด์’ จับสัญญาณเตือน ฟองสบู่ทองคำ ชี้จุดเปลี่ยนสำคัญ

‘อินเตอร์โกลด์’ จับสัญญาณเตือน ฟองสบู่ทองคำ  ชี้จุดเปลี่ยนสำคัญ

สัญญาณเตือน ‘ฟองสบู่ทองคำ’  ‘อินเตอร์โกลด์’ แนะจุดเปลี่ยนสำคัญ ธนาคารกลางจีนหยุดซื้อ เดินเกมใหม่ ลงทุนทองเริ่มต้น 0.5 กรัม ใช้เงินแค่ 2,000 บาท หนุนสร้างพอร์ตระยะยาว

KEY

POINTS

  • อินเตอร์โกลด์เตือนสัญญาณฟองสบู่ทองคำ หลังราคาพุ่งทำสถิติใหม่ แต่เชื่อว่าแนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น
  • ชี้จุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจทำให้ราคาปรับฐานรุนแรง คือ การที่ธนาคารกลางจีนชะลอหรือหยุดซื้อทองคำ ซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่
  • ความเสี่ยงระยะสั้นมาจากภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และดัชนี RSI ที่ทำสถิติสูงสุด ซึ่งอาจทำให้ราคาปรับฐานลงได้ถึง 5,000 บาท
  • แม้จะมีความผันผวน และเสี่ยงปรับฐาน แต่ในระยะยาวทองคำยังคงสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)

ท่ามกลางภาวะที่ “สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก” ทั้ง “หุ้นสหรัฐ-คริปโทเคอร์เรนซี และทองคำ” ต่างพุ่งทะยาน “ทำสถิติสูงสุดใหม่” (All-Time High) พร้อมกันในเดือนต.ค. นี้ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศทะยานผ่านหลัก 60,000 บาทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้จุดประกายคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนว่า ทองคำกำลังเข้าสู่ภาวะ “ฟองสบู่” หรือไม่ และหากฟองสบู่แตกจะส่งผลกระทบรุนแรงเพียงใด ที่สำคัญ ทองคำยังคงสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ได้อยู่จริงหรือ

บนเวทีสัมมนาใหญ่ “Thailand Economic Outlook 2026 : Out of The Trap” โดย “กรุงเทพธุรกิจ” พูดคุยกับ “ธีรรัฐ จุฑาวรากุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด ถึงมุมมองต่อราคาทองคำในปีนี้ที่พุ่งสูงทะลุ 60,000 บาท และแนวโน้มในระยะยาวที่นักลงทุนควรจับตา

‘อินเตอร์โกลด์’ จับสัญญาณเตือน ฟองสบู่ทองคำ  ชี้จุดเปลี่ยนสำคัญ

ทองคำ” ยังเป็นขาขึ้น แม้มีความผันผวน ปีนี้ “ราคาทองโลก” ปรับขึ้นไปกว่า 50% ส่วน “ทองไทย” ปรับขึ้นถึง 40% ซึ่งสะท้อนความกลัวที่ซุกซ้อนอยู่ใต้พรมของ “เศรษฐกิจโลก” และ “ความกังวลความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์” ที่รุนแรงขึ้น

แน่นอนที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ส่งสัญญาณ “ฟองสบู่” มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “ฟองสบู่ไม่ยอมแตก และเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น” ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางกลุ่มต่อการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เขายังคงยืนยันว่าในสายตาของนักลงทุนในระยะยาว ทองคำยังคงเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างแท้จริง พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับในช่วง “วิกฤติซับไพร์ม” ในปี 2008-2009 ซึ่งเป็นช่วงที่ฟองสบู่สินทรัพย์แตกอย่างรุนแรง “หุ้นสหรัฐดิ่งเหว” แต่ราคาทองคำกลับปรับตัวลงไม่หนัก และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วกว่าสินทรัพย์อื่น

“การที่ราคาทองคำปรับขึ้นจากระดับ 40,000 บาท มาอยู่ที่ 60,000 บาท ภายในเวลาไม่ถึงปี (10 เดือน) ย่อมมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงมาในระยะสั้นได้ ซึ่งการปรับลงในระดับ 4,000-5,000 บาท ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่นั่นคือ ธรรมชาติของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง และระยะยาว” 

"ธีรรัฐ" ยังได้ยกตัวอย่างการปรับฐานที่เกิดขึ้นแล้วในปีนี้ว่า “ช่วงต้นปีราคาทองอยู่ที่ 42,000 บาท และพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 54,000 บาทในเดือนเม.ย. จากประเด็น “ภาษีทรัมป์” แต่เมื่อมีความชัดเจนเรื่องการเจรจา ราคาทองก็ย่อตัวปรับฐานลงมาที่ 50,500 บาท หรือลดลงราว 4,000 บาท ก่อนจะกลับมาพุ่งทะยานอีกครั้งในช่วงเดือนก.ย. ถึงต.ค. จนทะลุ 60,000 บาท”

“ธีรรัฐ” มองว่า แม้ราคาทองจะมี “ความผันผวนสูง” และเป็น “ขาขึ้น” ตั้งแต่ต้นปี จาก 40,000 บาท เป็น 60,000 บาทในปัจจุบัน ราคาที่ปรับขึ้น 20,000 กว่าบาท ดังนั้น ย่อมมีการปรับฐานลงมาระยะสั้นๆ เพื่อปรับตัวขึ้นต่อเป็นเรื่องปกติ แต่หากมองภาพใหญ่ในรอบ 10-20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าราคาทองคำเป็น “ขาขึ้นมาโดยตลอด” และจะมีปรับฐานย่อลงมารุนแรงหรือ “ผันผวน” แค่ไหนนั้นตามแต่สถานการณ์ในโลก

“ความผันผวนของราคาทอง ยังเป็นขาขึ้นตลอด เพราะตามประวัติศาสตร์ราคาทองคำตั้งแต่ปี 2000-2025 แสดงให้เห็นว่า ทองคำยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่เงินเฟ้อสูง และการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ทองมีคุณค่ายิ่งขึ้น” 

ดังนั้น แม้จะมีความผันผวนมาก แต่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เรายังมองแนวโน้มราคาทองเป็น “ขาขึ้น” ต่อเช่นกัน

“ตอนช่วงซับไพร์ม ฟองสบู่ทองไม่ได้แตกหนักเหมือนหุ้น เพราะคนยังมองทองเป็นที่พักเงินในช่วงวิกฤติ และในช่วง 10 เดือนขึ้นมานี้ ทองปรับขึ้นถึง 20,000 บาท และผันผวนมาก มองว่า ทำให้การปรับฐานลง 5,000 บาท ในระยะสั้นอาจเป็นไปได้ เพื่อปรับขึ้นต่อไป”

"ธีรรัฐ" ระบุว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของราคาทองปรับฐานลงมา” คือ การจับตาดูท่าทีของ ธนาคารกลางจีน หากจีนประกาศหยุดซื้อทองคำเมื่อใด อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กดดันราคาทองทั่วโลกให้ปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในปริมาณสูงถึง 8-10 ตันต่อเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นมาแตะระดับ 3,000-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง โดยเดือนล่าสุดพบว่าจีนซื้อทองคำเพียง 1 ตันเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณของความร้อนแรงเกินจริง หรือ Overbought ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม นั่นคือ นักลงทุนจำนวนมากยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แม้ราคาจะปรับขึ้นสูง ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่อาจเกินระดับสมดุลไปแล้ว

รวมถึงดัชนีชี้วัดโมเมนตัมอย่าง RSI (Relative Strength Index) ได้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาดทองคำ ทำให้ความผันผวนมีความรุนแรง และมีโอกาสเกิดการปรับฐานที่รุนแรงได้

ดังนั้น จากสัญญาณความเสี่ยงดังกล่าว นักลงทุนอาจจะต้องระมัดระวังหากเกิดการปรับฐานจริง ราคาทองคำอาจลดลงได้ถึง 5,000 บาทซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวหรือเป็นไปไม่ได้ในสภาวะตลาดปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยงจากการปรับฐานระยะสั้น แต่ภาพรวมในระยะกลางถึงระยะยาว “ทองคำ” ยังคงเป็นขาขึ้นที่มั่นคง และเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความผันผวนของค่านิยมแบ่งขั้ว ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถยอมรับความผันผวน และแรงปรับฐานในระยะสั้นได้ การถือครองทองคำเพื่อ ลงทุนในระยะยาว ยังคงเป็นทางเลือกที่มั่นคงเพื่อรอรับขาขึ้นในระยะกลาง และระยะยาว

ด้วยราคาทองคำในปัจจุบันที่พุ่งสูงจนแตะระดับ 60,000 บาท อาจเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนรายย่อยหรือผู้เริ่มต้นลงทุน แต่ “เทคโนโลยี” ได้เข้ามาเปลี่ยนเกมการลงทุนทองคำอย่างสิ้นเชิง

“อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด” ได้เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าถึงทองคำได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานสะดวก พร้อมฟีเจอร์ที่สามารถสลับพอร์ตการลงทุนได้ตามต้องการ

นายธีรรัฐ ระบุว่า การลงทุนทองคำไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากเงินก้อนใหญ่เสมอไป เพราะทางบริษัทได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถ เริ่มต้นลงทุนได้ด้วยทองคำเพียง 0.5 กรัม ซึ่งใช้เงินเพียงประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น ทำให้การลงทุนทองคำเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความปลอดภัยในการเก็บรักษาว่า การลงทุนสามารถทำได้ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ แต่การ “เก็บทองไว้ที่บ้านอาจไม่ปลอดภัย ด้วยราคาที่สูงถึง 60,000 บาท”

 ดังนั้น การลงทุนผ่านระบบจึงเป็นทางเลือกที่สะดวก และปลอดภัยกว่า พร้อมเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างพอร์ตที่มั่นคงในระยะยาวไม่ใช่ขนาดของเงินเริ่มต้น แต่เป็น วินัย และความสม่ำเสมอ ในการลงทุน

ท้ายสุด แม้ว่า อินเตอร์โกลด์ จะไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ที่คนรู้จักมากนัก แต่บริษัทมุ่งมั่นที่จะเข้าใจ “ผู้บริโภค” และพร้อมเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เชื่อถือได้สำหรับนักลงทุนที่กล้าก้าวเข้ามาเริ่มต้นในตลาดทองคำ...

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์