เปิดภารกิจผู้ว่าธปท. ‘แก้หนี้รายย่อย’ ยืน ‘3 เรื่องหลัก’ ดูแลเสถียรภาพ

“วิท้ย รัตนากร” พบสื่อครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ชี้หลักการธปท.ยืน 3 พันธกิจ รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การเงิน อิสระจากแรงกดดันทางการเมือง ย้ำภารกิจแก้หนี้รายย่อย ช่วงลูกหนี้หลุดพ้นวงจรหนี้
KEY
POINTS
- ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันภารกิจหลักคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งตั้งอยู่บน 3 เรื่อง
- เร่งแก้ปัญหาหนี้รายย่อย โดยเตรียมจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อรับโอนหนี้วงเงินต่ำกว่า 100,000 บาทมาบริหารจัดการ
- ย้ำนโยบายการเงินจะยังคงอยู่ในทิศทางผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
- ทุกนโยบายและมาตรการของ ธปท. จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเป็นรูปธรรม
“วิท้ย รัตนากร” ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเวทีพบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ในรายการ Governor Connect โดยฉายภาพหลากหลายมุมให้เห็นถึง ภารกิจหลักของธปท. แนะนโยบายที่ต้องเร่งเข็นนับจากนี้
“วิทัย” กล่าวว่าการเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ภารกิจหลักยังคงเดิม คือ “การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธนาคารกลาง โดยมีองค์ประกอบ 3 เรื่องหลักที่ต้องดูแลให้สมดุล
ประการแรก คือ การดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำแต่มีเสถียรภาพ
ประการที่สอง การรักษาความเข้มแข็งของระบบการเงินและสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนในอดีต
และประการสุดท้าย คือ การดูแลระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพและมั่นคง รองรับการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล
ซึ่งภารกิจเหล่านี้ยังเป็นหลักเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกยึดถือ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจโดยไม่ถูกกดดันทางการเมือง และมีอิสระในการดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ
โดยความเป็นอิสระในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการทำงานแบบแยกตัวออกจากหน่วยงานอื่น แต่หมายถึงการทำงานอย่างมืออาชีพ โดยยังร่วมมือกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้กลับสู่จุดที่มีความสมดุล เติบโตได้ในระดับศักยภาพของประเทศ
“นโยบายการเงินและนโยบายการคลังต้องทำงานสอดคล้องกัน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวม ถ้าเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำเกินไปโดยไม่มีมาตรการช่วยกันประคอง สุดท้ายก็จะกระทบเสถียรภาพมหภาคแน่นอน”
โดย ธปท. ไม่ได้มองเฉพาะการรักษาเสถียรภาพทางตัวเลขเท่านั้น แต่ต้องตอบให้ได้ด้วยว่า “ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร และสังคมได้อะไร” หากธปท.รักษาเสถียรภาพได้แต่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ก็ถือว่ายังไม่บรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง
ดังนั้นทุกนโยบายและมาตรการต้องสะท้อนผลลัพธ์ต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
“เวลาพูดถึงเสถียรภาพ เราต้องไม่ลืมคน เราต้องอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาของประชาชน เข้าใจสถานการณ์จริงของสังคม แล้วออกมาตรการที่ช่วยได้จริง ดังนั้น อาจเห็นมาตรการเฉพาะจุดออกมามากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้านที่กระทบประชาชนโดยตรง”
- เร่งตั้ง AMC แก้หนี้รายย่อยคาดชัดเจน ต.ค.นี้
สำหรับ มาตรการเฉพาะจุดจะครอบคลุมทั้งการแก้ปัญหาหนี้ที่ธปท.กับหลายหน่วยงานกำลังทำร่วมกันคือ โครงการ AMC ที่อยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงิน เพื่อโอนหนี้รายย่อยที่มีวงเงินต่ำกว่า 100,000 บาทเข้ามาบริหาร คาดว่าจะช่วยคนได้กว่า 2 ล้านคน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเป็นตัวเสริมสำคัญในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและช่วยให้คนกลับมายืนได้ เป็นสิ่งที่จะเร่งดำเนินการให้เห็นผลชัดเจน
ซึ่งการทำมาตรการ AMC นั้น คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนได้ภายในเดือน ต.ค. นี้ และคาดจะเริ่มโครงการได้ราวต้นปี 2569 โดยยอมรับว่าการแก้หนี้ผ่านมาตรการ AMC นั้นอาจต้องเริ่มช่วยบางกลุ่มที่สามารถทำได้ง่ายก่อน เนื่องจากหากดูลูกหนี้กว่า 3 ล้านคนที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท
ปัจจุบันมาจากหลายสถาบันการเงิน ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ นอนแบงก์ที่เป็นลูกสถาบันการเงิน และนอนแบงก์ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์
“เบื้องต้นอาจเริ่มได้ก่อนกว่า 2 ล้านบัญชี ซึ่งแบ่งเป็น 3 ก้อนหลัก ได้แก่ ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 700,000 บัญชี, ธนาคาร SFI ประมาณ 800,000 บัญชี ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ก่อน”
- ชี้ดอกเบี้ยผ่อนคลายต่อเนื่อง
สำหรับนโยบายการเงิน ในช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50 % และ 1 ปีที่ผ่านมา มีการปรับลดดอกเบี้ยที่ 1% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำประมาณหนึ่ง และยังเป็นระดับที่ policy space เหลืออยู่
ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินของกนง.ที่ผ่านมา มติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% นั้น เหตุผลหลักมาจาก กนง.เห็นตรงกันว่าประเทศไทยอยู่ในโหมดที่พร้อมที่จะผ่อนคลาย และจะผ่อนคลายต่อไป เพื่อที่จะประคับประคองเศรษฐกิจ อีกทั้งการคงดอกเบี้ยที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งรอติดตามผลของการลดดอกเบี้ย เนื่องจากผลลดดอกเบี้ยที่ผ่านมายังไม่ทอดถึง 6-12 เดือน ดังนั้นควรรอดูสถานการณ์และสงวน policy space ที่เหลืออยู่ไว้เพื่อใช้ในจุดที่สำคัญและในเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นการตัดสินใจคงดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ต้องพิจารณาจากข้อมูล (data) ที่ออกมาชุดใหม่ต่อๆไป
สำหรับภาวะเงินเฟ้อพื้นฐานในปัจจุบันคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 0.9% ซึ่งเป็นระดับที่กำลังแตะใกล้ๆ กรอบล่างของเป้าหมาย และสาเหตุที่เงินเฟ้อทั่วไปต่ำ เป็นผลมาจากการลดลงของราคาพลังงานและอาหาร ที่ 2 ตัวนี้มีน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อถึง 50%
ทั้งนี้ ยังไม่เห็นถึงสัญญาณเงินฝืดตามหลักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นความเสี่ยงที่ธปท.จะติดตามใกล้ชิด เพื่อออกมาตรการเพื่อมาประคองดูแลเงินเฟ้อหากมีความเสี่ยงในระยะข้างหน้า
ด้าน ค่าเงินบาท ปัจจุบันค่าเงินแม้จะยังแข็งค่าแต่ลดลง
โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่า 4.5% หากเทียบตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ายังมาจากผลของดอลลาร์ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทธปท.มีการติดตามใกล้ชิด เนื่องจากเป้าหมายคือต้องการดูแลเงินบาทให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับพื้นฐานของประเทศ
สำหรับการหาสาเหตุ “ทุนเทา” หรือเงินปริศนาที่เข้ามา ขณะนี้ ธปท.ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและอีกหลายหน่วยงาน เพื่อ connect the dots เพื่อให้เห็นถึงเงินที่มีความน่าสงสัย รวมถึงมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างผิดปกติ ที่ต้องหาให้เจอ
“ยอมรับว่าแบงก์ชาติไม่ได้เห็นทุกอย่าง บางครั้งธุรกรรมอาจไม่ได้อยู่บนโต๊ะหรือไม่มีการรายงาน การทำงานข้ามหน่วยงาน จะช่วยในการติดตามธุรกรรมที่ไม่ปกติได้ และหากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เงินที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาและมีผลต่อค่าเงินบาท แบงก์ชาติก็พร้อมที่จะเข้าไประงับหรือสกัด เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อประเทศ”
จับตาเทรดทองผ่านแอปฯ ทำบาทแข็ง
“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าธปท. กล่าวว่า แนวทางในการจัดการกับ “ทองคำ” เพื่อลดผลกระทบ “ค่าเงินบาท” ซึ่งยอมรับว่าทองคำเป็น “ปัจจัยเสริม” ที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชัน
ซึ่งเมื่อราคาทองขึ้น คนมักจะขายทอง และ “ร้านทอง” จึงต้องไปขายต่อ กระบวนการนี้ทำให้เกิดการ “ขายดอลลาร์ ซื้อบาท” ซึ่งเป็นสาเหตุให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ดังนั้น ระหว่างเงินบาทและทองคำจึงมีความ Correlation จึงมีสูงขึ้น
ทั้งนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือกับ “กระทรวงการคลัง” และ “ร้านทอง” เพื่อหาแนวทางแก้ไขผลกระทบจากการเทรดทองคำบนแอปฯ ว่ามีผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นหรือไม่ ซึ่งมาตรการที่กำลังหารือไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำในร้านทอง
โดยยอมรับว่าการออกนโยบายใด ๆ จะทำด้วยความระมัดระวัง หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องการมีนโยบาย
ตั้งกองทุนมั่งคั่งเอื้อเงินบาทอ่อนค่าไม่ช่วย
สำหรับ การเสนอแนวคิด “จัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ” (Sovereign Wealth Fund) นั้น มองว่า ตามหลักการพื้นฐานของการบริหารจัดการเงินสำรอง เงินสำรองโดยหลักแล้วควรจะเป็นเงินที่หนุนหลัง การออกธนบัตรของธปท. เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และหากดูในทุนสำรอง มีทั้งเงินตราต่างประเทศ
รวมถึงทองคำ และมีการลงทุนในหุ้น (Equity) ในจุดที่จัดสัดส่วนการลงทุนไว้ค่อนข้างดี
ดังนั้น การเสนอให้ตั้งกองทุนมั่งคั่งเพื่อช่วยให้เงินบาทอ่อนค่า มองว่าแนวคิดนี้อาจไม่มีผลช่วยเหลือเรื่องค่าเงินเลย เนื่องจากเงินสำรองหลัก ๆ เป็นดอลลาร์การโยกเงินจากบัญชีสำรองหลักเข้าบัญชีใหม่ที่ตั้งเป็นกองทุนมั่งคั่งก็ไม่ช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
ซึ่งการตั้งกองทุนจะช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้ก็ต่อเมื่อใช้เงินบาทตั้งต้นใหม่ และนำเงินบาทนั้นไปซื้อดอลลาร์ เพื่อนำไปบริหารจัดการใหม่ การกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความต้องการซื้อเงินดอลลาร์และขายเงินบาท
ซึ่งจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลง ดังนั้น มองว่าหากตั้งกองทุนมั่งคั่ง เพื่อแก้และทำให้เงินบาทอ่อนค่ามองว่าไม่น่าใช่แนวทางที่ถูกต้อง และยอมรับว่าปัจจุบันธปท. ยังไม่มีแนวคิดนี้ในการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งใน
- สานต่อภารกิจธปท.ต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น โครงการเดิมที่อยู่ระหว่างดำเนินการภายใต้ผู้ว่าการคนก่อน ก็จะมีการเดินหน้าต่อเนื่อง เช่น Virtual Bank ที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น รวมถึงแนวคิด Risk-Based Pricing การคิดดอกเบี้ยตามระดับความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้ผู้กู้ที่มีเครดิตดีสามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
ทั้งหมดนี้จะเร่งผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดบนกระดาษ
สำหรับ ภารกิจในมุมนโยบายการเงิน “วิทัย” มองว่า ธปท.จะยังคงยึดมั่นในภารกิจหลัก ได้แก่ การควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ การสร้างระบบการเงินที่เข้มแข็ง ระบบชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ
รวมถึงการรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลาง โดยพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้สมดุล และสุดท้ายต้องดูแลประชาชน
“ซึ่งเป้าหมายปลายทางของเราคือประชาชนต้องอยู่ได้ ต้องได้รับประโยชน์จากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เราจะอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น”
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ การให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อสอนให้คนรู้จักใช้เงินอย่างมีวินัย ต้องรู้ว่าของบางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อควบคู่กับการออม ทั้งนี้ ธปท. กำลังติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายออนไลน์และรูปแบบสินเชื่อประเภท “Buy Now Pay Later” (BNPL) อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ามีความจำเป็นต้องเข้าไปกำกับดูแลหรือไม่







