‘เอกชน‘ ชงรัฐบาลลุยแก้ กับดักศก. หวังผู้นำมี ’คอมมิตเมนต์’ ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

ภาคธุรกิจไทยประสานเสียงถึงเวลาไทยวางแผนก้าวข้ามกับดักเศรษฐกิจ Old Economy ป่วยเรื้อรังจากโครงสร้างไม่เปลี่ยน หนี้ครัวเรือนพอกพูน มีความไม่เชื่อมั่นภายในสังคม ชี้ทางรอดต้องอาศัย “การปฏิรูปจริงจัง” ด้วยคอมมิตเมนต์ผู้นำและการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ก่อนระเบิดหนี้ลูกใหญ่จะปะทุ
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจไทยเผชิญกับดักสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การลงทุนในอุตสาหกรรมเก่า, โครงสร้างประชากรสูงวัย, การตามไม่ทันเทคโนโลยี และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์
- ภาคเอกชนชี้ว่าปัญหาหลักไม่ใช่การ "ไม่รู้" แนวทางแก้ไข แต่เป็น "รู้แล้วทำไม่ได้"
- ปัญหาหนี้ถูกมองว่าเป็น "ระเบิดเวลา" ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการระยะสั้น
- ทางออกระยะยาวคือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อก้าวออกจาก "เศรษฐกิจเก่า" Old Economy ไปสู่ "เศรษฐกิจใหม่" New Economy
1.กับดักการลงทุน โดยไทยติดกับดักการเติบโตในอุตสาหกรรมเดิม แต่ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุค AI, Data Center, EV, ระบบอัตโนมัติและโลกสีเขียว ดังนั้นจะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นหัวหอกส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยุคใหม่
2.กับดักประชากรและทักษะแรงงาน โดยไทยกำลังเผชิญโครงสร้างประชากรที่มีผู้อายุเกิน 60 ปี ราว 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้อง Re-skill และ Up-skill ทักษะแรงงาน
3.กับดักเทคโนโลยี โดยธุรกิจไทยหลายแห่งไม่ทันโลก และเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมากจากยุค Digital Transformation ไปสู่ AI ซึ่งรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเงินทุนให้ SME เพื่อทำวิจัยพัฒนา (R&D) และทำโครงการพี่ช่วยน้องให้ธุรกิจรายใหญ่สนับสนุน SME
4.กับดักหนี้และวินัยการคลัง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงมากและมีกำลังซื้อลดลง หากไม่แก้ไขกำลังซื้อที่หดหายจะกระทบ SME และอาจลามถึงธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่หนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ระดับ 64% ของ GDP
- ต้องเผชิญความจริงและสร้างความเชื่อมั่น
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า กับดักที่ไทยติดอยู่มีทั้ง “ต้นเหตุและปลายเหตุ” โดยไทยเป็นประเทศเติบโตช้าและมีแผลเป็นจากโควิด-19 ทำให้หนี้สูงขึ้น และเสียความสามารถการแข่งขันที่แก้ไม่ได้ระยะสั้น เพราะขาดการลงทุนและขาดวิสัยทัศน์มองไปข้างหน้า
ทั้งนี้ หากไทยดำเนินไปแบบเดิมไม่เปลี่ยนทิศทางจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวเร็วเมื่อโลกเปลี่ยนและต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อออกจากกับดัก ซึ่งต้องเริ่มจากการเผชิญความจริงว่าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและต้องมีคอมมิตเมนต์ชัดเจน
รวมถึงความต่อเนื่องของนโยบายที่ทำให้ประชาชนมั่นใจสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งไม่ว่าจะใช้ทรัพยากรมากเพียงใดต้องทำให้ประชาชนรู้สึกเห็นด้วยและเข้าใจว่าทำเพื่อประโยชน์ประเทศไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน
เช่น กรณีการลงทุนที่ต้องมีการ ขยายเพดานหนี้เพื่อระดมทุน หากสามารถอธิบายให้สังคมเห็นภาพได้ ก็จะได้รับการยอมรับ
“กับดักใหญ่สุดของเศรษฐกิจไทย คือ ความไม่เชื่อใจกันเอง ความแตกแยกและขาดความมั่นใจกันและกัน ทำให้ไม่ว่าสังคมจะริเริ่มสิ่งใดมักจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะผลักประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้”
- ไทยต้องออกจาก “Old Economy”
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “กับดักใหญ่สุดของเศรษฐกิจไทย” คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะวันนี้ไทยยังอยู่ในระบบ “Old Economy” ที่พึ่งพาภาคส่วนเดิม ๆ ซึ่งไม่สามารถสร้างการเติบโตใหม่ได้
สิ่งที่ประเทศต้องเร่งทำคือ “สร้าง New Economy” และรัฐบาลควรโฟกัสกับการพัฒนาPriority Segment หรือกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ โดยต้อง จัดแนวทางและแผนงานของทุกกระทรวงให้สอดคล้องกัน
เช่น การต่อยอดจากการท่องเที่ยวไปสู่ Medical Tourism หรือ Sport Tourism รวมถึงการจัดงานระดับโลก (Expos) เพื่อสร้างการเติบโตแบบใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ อีกกับดักเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูงกว่า 86% ต่อ GDP แม้ลดลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ระดับอันตราย ดังนั้น ทุกคนในสังคมต้องมีส่วนร่วมลดภาระหนี้
“ประชาชนควรมีวินัยทางการเงิน ขณะที่สถาบันการเงินต้องปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ส่วนภาครัฐควรกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต เพื่อให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นจะช่วยให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนทยอยลดลง”
- ไทยรู้ปัญหากับดักแต่แก้ไม่ได้
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า หลายคนมองว่าไทยกำลังติดกับดักรายได้ปานกลาง แต่แท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นเพียง “ผลลัพธ์” ไม่ใช่ “ต้นเหตุ” ต้นเหตุสำคัญมาจากการที่ไทยปฏิรูปเศรษฐกิจไม่ได้ ทั้งที่เรื่องนี้พูดถึงมา 10-20 ปี แต่ทำไม่ได้จริง คำถามคือ เราไม่รู้หรือว่าต้องทำอะไร คำตอบคือ “เรารู้” แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “ไม่รู้” แต่อยู่ที่ “รู้แล้วทำไม่ได้”
สาเหตุสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปไม่เกิดขึ้น คือ คอมมิตเมนต์ของผู้นำ เพราะการปฏิรูปต้องแยกออกจากกลไกการเมือง และต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนในลักษณะการลงมือร่วมกัน นั่นหมายความว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสังคมตกลงร่วมกันว่าจะเดินไปทิศทางใด และต้องสร้างกลไกขับเคลื่อนในทิศทางนั้นต่อเนื่อง
- โอกาสการเปลี่ยนผ่านต้องใช้เพื่อปฏิรูป
ดังนั้น การออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ต้องสร้างกระบวนการขึ้นมาใหม่ และเป็นโอกาสดีของประเทศ เพราะอยู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองพร้อมเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
สถานการณ์นี้ทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเริ่มเห็นพ้องว่าไทยต้องการการปฏิรูปจริง
“การปฏิรูปไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้นำคนใดคนหนึ่ง เพราะการปฏิรูป คือ การจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ของสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงทำให้บางคนพอใจบางคนไม่พอใจ แต่สุดท้ายผลการปฏิรูปจะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์มากขึ้นระยะยาว เพียงแต่ระยะสั้นอาจมีบางกลุ่มต้องเสียสละ”
ทั้งนี้ เมื่อทุกฝ่ายเริ่มเข้าใจตรงกันว่าไทยต้องการ “การปฏิรูป” จึงควรให้กำลังใจผู้เกี่ยวข้อง หากมีคอมมิตเมนต์ชัดเจนต่อการปฏิรูปจะสร้างเสียงสนับสนุนจากคนในสังคมได้มากขึ้น และการปฏิรูปจะเริ่มขยับไปข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพระยะยาวที่มั่นคงให้ประเทศ
“หนี้”คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ของไทย
นายสมประวิณ มองว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะปี 2569 ส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงในประเทศ โดยที่น่ากังวลสุด คือ “ปัญหาหนี้”
โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่เคยศึกษาพบว่าบวมขึ้น แต่ตัวเลขเริ่มชะลอหรือทรงตัวหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าถูกชำระคืนแล้ว โดยการชะลอตัวจึงไม่เกิดจากการใช้หนี้หมด แต่เกิดจากหนี้ถูกผลักไปอยู่ระบบอื่นแทน
สิ่งที่ตามมาคือ “ภาระทางการคลังเพิ่มสูงขึ้น” เพราะกลไกทางเศรษฐกิจไม่เปิดช่องให้ประชาชนแก้หนี้เอง โดยภาครัฐต้องใช้หนี้แทนจนปัญหาหนี้เอกชนเริ่มลามสู่ภาระหนี้สาธารณะ และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ประเทศจะเต็มไปด้วยหนี้ทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นความเสี่ยงใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย
สุดท้ายแล้วไทยกำลัง “นับถอยหลัง” เข้าสู่ระเบิดเวลาจาก 'หนี้ลูกใหญ่' ว่าหนี้จะระเบิดเมื่อใด หากการปฏิรูปเกิดขึ้นได้เร็วจะช่วยชะลอหรือห้ามชนวนไม่ให้ระเบิดเกิดขึ้นเร็ว
- แนะก้าวข้ามกับดัก2ระยะ
สำหรับการออกจาก “กับดักหนี้” ได้ต้องแก้ปัญหาเป็นระบบ 2 ระยะ คือ
1.ระยะสั้นต้องเยียวยากลุ่มยังเปราะบางเพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นเต็มที่จากโควิด-19 มีประชาชนจำนวนมากต้องได้รับการช่วยเหลือ แต่การช่วยเหลือควรเป็นการเยียวยาไม่ใช่การกระตุ้น
เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการยิงกระสุนที่หมดไปแล้วก็จบ แต่การเยียวยาจะประคองให้ผ่านช่วงยากลำบากได้โดยไม่ทำลายเสถียรภาพ
2.ระยะยาวต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสร้างการเติบโตใหม่เหมือนการรักษาโรคที่ต้องแก้ต้นเหตุ ขณะที่การเยียวยาระยะสั้นเหมือนการห้ามเลือดเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเสียชีวิตก่อนจะรักษาหาย
“สิ่งที่จำเป็นคือการใช้เวลานี้เยียวยาแผลระยะยาวไปพร้อมกัน เพื่อให้ประเทศมีทรัพยากรพอจะเดินหน้าการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องจุดล้อหมุนและจุดประกายให้เกิดการปฏิรูปเริ่มขึ้นจริงจัง เพราะหากยังไม่เริ่ม วันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจไม่มีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกันแบบนี้อีกเลย อาจเกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ทั้งนี้หากถามว่ามาตรการ “คนละครึ่ง” มาถูกทางหรือไม่ มองว่ามาถูกทางเพราะเป็นมาตรการเยียวยาไม่ใช่กระตุ้น มีเป้าหมายให้ประชาชนมีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเปราะบาง ไม่ได้มุ่งสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจหลายรอบ แต่เพื่อให้เศรษฐกิจ “ไม่พัง” มากกว่าเดิม
เศรษฐกิจไทย “ป่วยเรื้อรัง” ถือว่าวิกฤติแล้ว
หากถามว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ภาวะวิกฤติหรือไม่ ดร.สมประวิณ มองว่าเศรษฐกิจไทยเหมือนสุขภาพของคนป่วยที่ไม่ติดเชื้อเฉียบพลัน แต่เป็น “โรคร้ายแรงเรื้อรัง” และโรคร้ายแรงเรื้อรังก็สามารถคร่าชีวิตได้เช่นกัน
ดังนั้น หากถามว่าเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นวิกฤติแล้วหรือยัง “ใช่”
เพราะปัญหาของไทยวันนี้ไม่ใช่การล้มลงทันที แต่คือ “การทรุดลงอย่างต่อเนื่อง” จากโรคเรื้อรังที่สะสมมานาน
- เร่งแก้กับดัก“หนี้”แรงส่งฟื้นศก.
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ระยะสั้นรัฐบาลควรเร่งแก้กับดักหนี้ครัวเรือนและ SMEs เข้าถึงสินเชื่อยากเป็นอันดับแรก ซึ่งมีแนวคิดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติ (AMC) ระหว่างกระทรวงการคลังและสถาบันการเงิน โดยโอนหนี้รายย่อยวงเงินต่ำกว่า 100,000 บาท มาบริหาร ใช้งบประมาณ 26,000 ล้านบาท มาซื้อหนี้
ทั้งนี้ ควรเริ่มที่หนี้ SME ก่อนเพราะเปราะบาง ซึ่งหากช่วยได้จะกลับมามีเครดิตทำธุรกิจได้ สร้างการจ้างงานเพิ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจวงกว้าง เพราะเป็นเซกเมนต์ธุรกิจสร้างรายได้ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กร้านอาหาร
“หากกลุ่มธุรกิจนี้ฟื้นตัวได้จะซื้อเครื่องจักร เปิดร้าน สร้างแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจภาพรวม มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็ว ตรงเป้ามากที่สุด ภายใต้งบประมาณจำกัด ระยะเวลาจำกัดและขยายวงกว้างขึ้น”
ขั้นต่อไป “กลุ่มหนี้บัตรเครดิต” หรือ “หนี้ส่วนบุคคลอื่น” ควรใช้สูตรโกดังพักหนี้ (Asset Warehousing) คือมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ลูกหนี้โอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไปพักที่สถาบันการเงินเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงที่มีปัญหา ซึ่งลูกหนี้มีสิทธิ์เช่าทรัพย์สินไว้ใช้และซื้อคืนในอนาคต
สอดคล้องนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย มองว่า การจะกระตุ้นเศรษฐกิจควรเริ่มจากการช่วยแก้กับดักหนี้นอกระบบด้วยแนวทาง “WAREHOUSE DEBT” ใช้วงเงินบ้านที่ชำระแล้วบางส่วนรีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบเพื่อลดภาระดอกเบี้ย สร้างเสถียรภาพการเงิน และกําลังซื้อในประเทศ
- แนะยกเครื่องภาคการผลิต
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กับดักรายได้ปานกลางเกิดจากไทยจัดในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางนานมาก
โดยอดีตไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและอยู่กลุ่มรายได้ต่ำ จึงได้ปรับโครงสร้างสู่ภาคอุตสาหกรรมเมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมา รายได้ดีขึ้น ทำให้ยกระดับเป็นรายได้ปานกลาง
รวมทั้งแม้เคยคาดการณ์ว่าจะไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง
แต่กลับติดกับดักอยู่ที่รายได้ปานกลางหลายสิบปี ซึ่งแม้รัฐบาลที่ผ่านมาจะตระหนักปัญหานี้ แต่ยังใช้โมเดลธุรกิจเก่าในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรหรือภาคบริการ ซึ่งใช้แรงงานเข้มข้นทำให้ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ ส.อ.ท.เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของ GDP กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยต้องปรับตัวเข้าสู่ Go Digital & AI เพราะเทคโนโลยีจะขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงโลก โดยต้องสร้างสังคมให้คนไทยเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี
รวมถึงต้อง Go Innovation ต้องรู้ปัญหาและหาวิธี “ทำน้อยได้มาก” โดยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมไม่ใช่แรงงาน นอกจากนี้ ต้องทำให้ไทย Go Global รู้จักส่งออกและหาตลาดใหม่ และ Go Green โดยทุกอุตสาหกรรมต้องมีเป้าหมายปฏิบัติตาม กติกาโลกใหม่ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน







