ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเยนซี นำมาลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?

ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเยนซี นำมาลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?

คิดทำการตลาด ถ้าเลือกใช้บริการเอเยนซีโฆษณาช่วยวางกลยุทธ์ สร้างสรรค์คอนเทนต์ และจัดการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเยนซี ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงขึ้นทุกวัน การทำการตลาดออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุดและวัดผลได้จริง หลายบริษัทจึงเลือกใช้บริการเอเยนซีโฆษณาเพื่อช่วยวางกลยุทธ์ สร้างสรรค์คอนเทนต์ และจัดการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google TikTok หรือ Instagram แต่เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่ายเหล่านี้ สิ่งที่เจ้าของธุรกิจหลายคนกังวลคือ “ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเยนซี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?”

คำถามนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการวางแผนภาษีที่ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายและยังทำให้การดำเนินธุรกิจโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ลองมาดูกันอย่างละเอียดว่ากรณีค่าโฆษณาที่ผ่านเอเยนซีนั้น มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอย่างไรบ้าง

ค่าโฆษณาคือค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ

ตามกฎหมายภาษีอากรนั้นราย จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบกิจการหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ สามารถถือเป็น “ค่าใช้จ่าย” ที่นำมาหักออกจากรายได้ก่อนเสียภาษีได้ ดังนั้นค่าโฆษณาที่ธุรกิจจ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสื่อเองโดยตรง หรือจ่ายผ่านเอเยนซี ก็ถือว่าอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหาประโยชน์ทางธุรกิจ

แต่การที่จะนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้จริง จำเป็นต้องมีเอกสารยืนยันที่ถูกต้อง เช่น ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบหรือใบเสร็จรับเงินที่ออกโดยนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย

จ่ายผ่านเอเยนซี มีผลอย่างไร

ในทางปฏิบัติหลายบริษัทเลือกทำการตลาดออนไลน์ผ่านเอเยนซีโฆษณา เนื่องจากสะดวก ประหยัดเวลา และได้ความเชี่ยวชาญจากทีมงานมืออาชีพ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ

1. ค่าบริการเอเยนซี เช่น ค่าคิดแผนกลยุทธ์ ค่าออกแบบโฆษณา ค่าบริหารจัดการแคมเปญ

2. ค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์ม เช่น ค่า Facebook Ads ค่า Google Ads ซึ่งเอเยนซีเป็นผู้ชำระแทน แล้วนำใบแจ้งหนี้หรือหลักฐานมาเรียกเก็บจากลูกค้า

ในกรณีนี้หากเอเยนซีออกเอกสารอย่างถูกต้อง เช่น ใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินระบุรายละเอียดค่าใช้จ่ายชัดเจน ธุรกิจก็สามารถนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

สิ่งที่ต้องระวัง

แม้ค่าโฆษณาผ่านเอเยนซีจะถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็มีเงื่อนไขที่เจ้าของธุรกิจควรใส่ใจ

  • ต้องมีเอกสารประกอบครบถ้วน เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือสัญญาจ้างงานกับเอเยนซี เพื่อใช้เป็นหลักฐานเมื่อสรรพากรตรวจสอบ
  • ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล หากยอดค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงเมื่อเทียบกับรายได้ หรือไม่สามารถชี้แจงว่านำไปใช้ในกิจการจริงได้ อาจถูกตัดสิทธิ์ในการหักค่าใช้จ่าย
  • ตรวจสอบสถานะของเอเยนซี ควรเลือกเอเยนซีที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และสามารถออกเอกสารภาษีได้ มิฉะนั้นค่าใช้จ่ายนั้นอาจไม่นำมาลดหย่อนได้

ยกตัวอย่างเช่น

สมมติว่าบริษัท A ว่าจ้างเอเยนซีเพื่อทำแคมเปญโฆษณา โดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้

  • ค่าบริการวางแผนและออกแบบ 50,000 บาท
  • ค่าโฆษณาบน Facebook และ Google รวม 150,000 บาท

เอเยนซีออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบให้ รวมเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม 14,000 บาท ในกรณีนี้ บริษัท A สามารถบันทึก 200,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ และนำภาษีมูลค่าเพิ่ม 14,000 บาท ไปเป็นภาษีซื้อเพื่อเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้ด้วย

ทำไมการบันทึกค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องจึงสำคัญ

การจัดการเอกสารค่าโฆษณาอย่างถูกต้องไม่ได้มีผลแค่เรื่องการลดหย่อนภาษี แต่ยังสะท้อนถึงการทำธุรกิจที่โปร่งใสและมีมาตรฐาน หากในอนาคตบริษัทต้องการขอสินเชื่อ ขยายกิจการ หรือแม้แต่การตรวจสอบงบการเงินจากนักลงทุน การมีบันทึกค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนย่อมสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่า

สรุป ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเยนซี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ หากมีหลักฐานเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการจากเอเยนซี หรือค่าโฆษณาที่เอเยนซีชำระแทนให้ โดยเจ้าของธุรกิจต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอเยนซีมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง และออกใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จที่ใช้เป็นหลักฐานได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งค่าใช้จ่ายด้านการตลาดไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสามารถบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ด้านภาษีได้ด้วย หากธุรกิจวางแผนการใช้เงินอย่างเป็นระบบ มีเอกสารประกอบชัดเจน และปฏิบัติตามข้อกำหนดของสรรพากร การลงทุนด้านโฆษณาผ่านเอเยนซีก็จะไม่เพียงสร้างโอกาสทางการตลาด แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินและลดภาระภาษีในระยะยาวได้

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting