ทองคำพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์อีกรอบ หลังทรัมป์ประกาศภาษีนำเข้าจีน

ราคาทองคำพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์อีกครั้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าจีนในวันศุกร์ ส่งผลให้นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
รอยเตอร์ รายงานราคาทองคำดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์อีกครั้งในวันศุกร์ (10 ต.ค. 68) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาเตือนถึงมาตรการภาษีนำเข้าจีนที่อาจเกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) เพิ่มขึ้น 0.8% อยู่ที่ 4,007.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ณ เวลา 11:18 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (15:18 GMT) โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% ในสัปดาห์นี้
ราคาทองคำตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคม (Gold Futures) เพิ่มขึ้น 1.3% อยู่ที่ 4,024.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทองคำแท่งซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,059.05 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันพุธ ถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนในวงกว้าง
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบกับแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางที่แข็งแกร่ง เงินทุนไหลเข้าจากกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน ความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษี ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าที่เกาหลีใต้ตามแผนที่วางไว้ สหรัฐฯ กำลังคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนครั้งใหญ่ เขาโพสต์ลงบน Truth Social
โพสต์ของทรัมป์ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงแรงภายในไม่กี่นาที และทองคำพุ่งขึ้นเหนือ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไท่ หว่อง เทรดเดอร์โลหะอิสระ กล่าวว่า “การที่สงครามการค้ากลับมาร้อนแรงอีกครั้งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ปลอดภัย”
ตลาดยังจับตาดูความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการล้มของรัฐบาลฝรั่งเศสที่อาจเกิดขึ้น และการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนตุลาคมและธันวาคม
“โดยรวมแล้ว มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงในระยะสั้น เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในอีกสองสามปีข้างหน้า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น” ฮาหมัด ฮุสเซน นักเศรษฐศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสินค้าโภคภัณฑ์ของแคปิตอล อีโคโนมิกส์ กล่าว
นอกจากการฟื้นตัวของราคาทองคำแล้ว ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลง 0.6% ทำให้ราคาทองคำแท่งที่ซื้อกันเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ มีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ
ด้านโลหะเงินก็ได้รับประโยชน์จากปัจจัยเดียวกันที่ผลักดันการฟื้นตัวของราคาทองคำ ควบคู่ไปกับความกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดแคลนอุปทานและความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโลหะชนิดนี้
โลหะเงินพุ่งขึ้น 2.2% มาอยู่ที่ $50.21 ต่อออนซ์ หลังจากที่วันก่อนหน้าทำสถิติสูงสุดที่ $51.22 โดยในปีนี้โลหะเงินพุ่งขึ้นถึง 70% แล้ว
ในส่วนของราคาในตลาดฟิวเจอร์โคเม็กซ์ สำหรับเดือนธันวาคม 2025 กำลังซื้อขายกันที่ $48.03
"สถานะ Backwardation ของโลหะเงินเป็นสัญญาณที่ชัดเจน ความต้องการซื้อในตลาดจริงกำลังบดขยี้อุปทานในตลาดกระดาษ... ถ้าสถานะ Backwardation ยังคงอยู่และความต้องการโลหะเงินจริงยังคงเพิ่มขึ้น การที่โลหะเงินจะทะลุและรักษาระดับเหนือ $50 เป็นเรื่องที่เป็นไปได้มาก" อเล็กซ์ เอบกาเรียน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ของ Allegiance Gold กล่าว
ทั้งนี้ Backwardation คือสถานการณ์ที่ราคาซื้อขายสินค้าส่งมอบทันที หรือราคาตลาดสปอต (Spot Price) สูงกว่าราคาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Price) ซึ่งมักบ่งชี้ถึงความต้องการสินค้าจริงที่สูงกว่าการเก็งกำไรในอนาคต







