'ผยง' ชูแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ผนึกภาครัฐ-เอกชน ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจยั่งยืน

ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ–เอกชน มุ่งแก้ปัญหา โครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบาง หนี้ครัวเรือนสูง และขีดความสามารถการแข่งขันลดลง โดยเน้นนโยบายเชิงปฏิบัติที่วัดผลได้จริง ครอบคลุมการแก้หนี้ครัวเรือน–เพิ่มศักยภาพเอกชน และส่งเสริม Green Economy เพื่อสร้างการเติบโตที่สมดุลในระยะยาว
KEY
POINTS
- นายผยง ศรีวณิช เสนอแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand” เพื่อเป็นเวทีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนประเทศและแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
- แพลตฟอร์มนี้เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัวและเผชิญความท้าทาย 3 ด้าน คือ โครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบางและเหลื่อมล้ำสูง, ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง และข้อจำกัดของภาครัฐ
- “Reinvent Thailand” ถูกออกแบบให้เป็นเวทีร่วมสร้างและขับเคลื่อนนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง โดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน (Data-Driven) และมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Result-Oriented) เพื่อใช้เป็น "เข็มทิศ" ให้กับทุกรัฐบาล
- โครงการจะผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่อง คือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการบูรณาการข้อมูลและขยายการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ และการเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชนผ่านการลงทุนและยกระดับทักษะแรงงาน
- หลักการสำคัญของแพลตฟอร์มคือ “Doing Well by Doing Good” ซึ่งเป็นการสร้างความร่วมมือเพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน “Reinvent Thailand for a Sustainable Future” ภายในงาน “Future Forum 2025 : The Great Transformation” จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเสนอแนวทางขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต ผ่านความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ภายใต้แพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand”
“ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตแบบชะลอตัว ทั้งจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ผนวกกับเครื่องยนต์หลายตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งจากการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว และผลกระทบจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ไม่รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่ที่หันไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ แต่ชะลอการลงทุนภายในประเทศ หรือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อภายในประเทศ ในขณะที่ภาครัฐมีข้อจำกัดในการลงทุนจากการดำเนินนโยบายที่ขาดดุลการคลังมาต่อเนื่อง และการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ผ่านมา” นายผยงกล่าว
“เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่ากลุ่มอาเซียน กลุ่มตะวันออกกลาง จีน และอินเดีย และยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากอุปสรรคและความท้าทายใน 3 ด้าน คือ
1.โครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบางและเหลื่อมล้ำสูง คนไทยเพียง 10% ที่มีรายได้สูงสุด ครองสัดส่วนรายได้กว่า 52% ของประเทศ ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่เพียง 1% มีบทบาทต่อ GDP มากถึง 65% ประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้น ๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้จำกัดและส่งเสริมการพัฒนาได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง เมื่อรวมหนี้นอกระบบเกิน 100% ของ GDP กระทบการบริโภคและการลงทุนในอนาคต
2.ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง การผลิตส่วนใหญ่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย ศักยภาพแรงงานยังไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และอาจมีการว่างงานแฝงจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคเกษตร นอกจากนี้ การลงทุนต่ำเพียง 23% ของ GDP ลดลงจาก 41% ก่อนวิกฤตปี 2540 ขณะเดียวกันการลงทุนด้าน ESG ไม่เพียงพอ ท่ามกลางกระแสโลกที่เร่งก้าวสู่ Green Economy
3.ความท้าทายของภาครัฐ มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัยและซ้ำซ้อน อีกทั้งข้อมูลของภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงกัน การคลังอยู่ในภาวะตึงตัว ขณะที่รายจ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดย IMF ชี้ว่าหนี้สาธารณะของไทยค่อนข้างสูงเทียบกับประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน รวมถึงแนะนำให้ไทยเพิ่มความระมัดระวังในด้านการคลังเพื่อความมั่นคงระยะยาว
ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยและทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดและรูปแบบใหม่ ๆ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อหาทางออกของประเทศ
จากผลกระทบเชิงโครงสร้างและนโยบายการค้าสหรัฐฯ นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand – A Platform for Policy Co-Creation and Execution” ซึ่งเป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืน เน้นการมีส่วนร่วม ออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง ใช้ข้อมูล (Data-Driven) และผลลัพธ์เป็นตัววัด (Result-Oriented) เพื่อพลิกฟื้นศักยภาพการแข่งขันและใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล
โครงการนี้ จะผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านการบูรณาการข้อมูลและขยายการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน ด้วยการลงทุนเทคโนโลยี สร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ ยกระดับทักษะแรงงานและการจ้างงานคน
ไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ พร้อมมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น สิทธิพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อสร้างตลาดใหม่อย่างยั่งยืน “Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงการขอให้ภาครัฐช่วยเหลือ แต่เป็นการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยยึดหลัก “Doing Well by Doing Good” สร้างมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ
ขณะที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา (R&D) ส่งเสริมการลงทุนที่นำไปสู่การยกระดับผลิตภาพ และจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรใหม่สู่ภาคส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนและ SMEs โดยแพลตฟอร์มนี้ เปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วมเสนอแนวทาง ร่วมกันออกแบบอนาคตเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน”







