ทองคำร่วงลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ เงินทะลุ 50 $ เป็นครั้งแรก

ทองคำร่วงลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ เงินทะลุ 50 $ เป็นครั้งแรก

ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในวันพฤหัสบดี นักลงทุนขายทำกำไรหลังอิสราเอล-ฮามาสหยุดยิง โลหะเงินทะลุ 50 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

รอยเตอร์/บลูมเบิร์ก รายงานราคาทองคำร่วงลงกว่า 1% ในวันพฤหัสบดี ( 9 ต.ค.68) ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ขึ้นสูงระดับสำคัญนี้ในรอบการซื้อขายก่อนหน้า เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และนักลงทุนทองคำต่างเทขายทำกำไรหลังจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-ฮามาส

โลหะเงิน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากโมเมนตัมในตลาดทองคำ ความต้องการลงทุนที่แข็งแกร่ง และภาวะขาดแคลนอุปทานอย่างต่อเนื่อง พุ่งขึ้นเหนือ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าราคาทองคำตลาดสปอตส่งมอบทันที (Spot Gold) ร่วงลง 1.1% มาอยู่ที่ 3,993.41 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ณ เวลา 12:38 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (16:38 GMT) ราคาทองคำตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคม (Gold Futures)  ร่วงลง 1.6% มาอยู่ที่ 4,006.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.5% และทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบสองเดือน ทำให้ทองคำแท่งมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ

"นักเก็งกำไรเริ่มถอนเงินบางส่วนจากการลงทุนในทองคำ เนื่องจากการหยุดยิงในกาซามีผลบังคับใช้ ซึ่งช่วยลดความร้อนแรงในภูมิภาคที่มีความผันผวนมาอย่างยาวนาน" ไท หว่อง นักเทรดโลหะอิสระกล่าว 

อิสราเอลและฮามาสได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในแผนริเริ่มโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่จะยุติสงครามในกาซา 

"โดยรวมแล้ว ความเชื่อมั่นในตลาดนี้ยังคงไม่ลดลงมากนัก แต่การปรับขึ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ขาดแรงสนับสนุนที่ชัดเจนจนกว่าราคาจะลดลงมาถึง 3,850 ดอลลาร์" หว่องกล่าว 

ทองคำแท่งพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกในวันพุธ (8 ต.ค.68) โดยทำสถิติสูงสุดที่ 4,059.05 ดอลลาร์ สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นประมาณ 52% ในปีนี้

การพุ่งขึ้นของทองคำได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงซื้อที่แข็งแกร่งของธนาคารกลาง เงินทุนไหลเข้าจากกองทุน ETF ที่เพิ่มขึ้น ความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร

รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำเดือนกันยายน ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เห็นพ้องกันว่าความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงพอที่จะทำให้ต้องลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังคงระมัดระวังท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัว

เฟดกลับมาดำเนินวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายน โดยลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.25 %

นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนตุลาคม และอีกครั้งในเดือนธันวาคม โดยมีโอกาส 95% และ 80% ตามลำดับ

ราคาโลหะเงินขึ้นสูง

ราคาโลหะเงินพุ่งขึ้น 1.3% อยู่ที่ 49.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ราคาโลหะเงินลดระดับการขึ้นลงหลังจากแตะ 51.24 ดอลลาร์ต่อออนซ์การซื้อขายก่อนหน้าในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบมากกว่าสี่ทศวรรษ

ราคาของโลหะเงินได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในปีนี้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคเดียวกันที่ผลักดันการปรับขึ้นของราคาทองคำและสภาวะอุปทานในตลาดสปอตที่ตึงตัว 

"เงินกำลังอยู่ในช่วงไล่ตามในขณะนี้ โดยมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้นในทิศทางขาขึ้นมากกว่าทองคำในช่วงไม่กี่เซสชั่นที่ผ่านมา" เดวิด เมเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายโลหะมีค่าที่ High Ridge Futures กล่าว 

ราคาแพลทินัมร่วงลง 1.7% มาอยู่ที่ 1,635.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ และแพลเลเดียมลดลง 1.2% มาอยู่ที่ 1,431.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ

อัปเดตราคาเช้านี้ (10 ต.ค. 68)

บลูมเบิร์ก รายงานว่าราคาทองคำตลาดสปอตทรงตัวที่ 3,987.04 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 7:47 น. ตามเวลาที่สิงคโปร์ ค่าเงินดอลลาร์ค่อนข้างนิ่ง โดยดัชนี Bloomberg Dollar Spot แทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ในการซื้อขายก่อนหน้า ราคาโลหะเงินลดลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้นถึง 4.8% ในวันพฤหัสบดี ส่วนราคาแพลทินัมและแพลเลเดียมปรับตัวสูงขึ้น

ราคาทองคำทรงตัวหลังจากร่วงลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในการซื้อขายก่อนหน้า ขณะที่ราคาเงินยังคงร่วงลงต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1980

ทองคำแท่งซื้อขายใกล้ 3,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันศุกร์ หลังจากร่วงลง 1.6% ในการซื้อขายก่อนหน้า ตัวชี้วัดทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าโลหะมีค่าอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปเป็นเวลานานตลอดเดือนที่ผ่านมา กระตุ้นให้นักลงทุนบางส่วนล็อกกำไรไว้ หลังจากราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วติดต่อกันสี่วัน ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,059.31 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันพุธ

ราคาโลหะเงินก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน หลังจากแตะระดับ 51.235 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบมากกว่าสี่ทศวรรษ